4 ส.ค. 58 เมื่อเวลา 13.30น. ที่ตึกบัญชาการ1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันแถลงผลภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงความคืบหน้ามาตราการช่วยเหลือเกษตรกร โดยพล.อ.อนุพงษ์ แถลงว่า วันนี้ครม.อนุมัติแผนงานโครงการ “ช่วยเหลือเกษตรกร และคนยากจน ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน” โดยเรื่องใหญ่ในวันนี้คือ ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีความต้องการให้มีแผนงานดังกล่าวลงไปถึงเกษตรกรทุกประเภท ไม่ว่าจะเกี่ยวกับพืช หรือสัตว์ มีจุดมุ่งหมายให้เขามีความเข้มแข็ง รวมถึงมีความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
“การดำเนินการต่อเกษตรกรดังกล่าว ท่านนายกฯบอกว่า ให้เขารวมกลุ่มกันมา ภายใต้ในชื่อองค์กรเกษตรกร จะไปใช้กลุ่มเกษตร หรือศัพท์อื่นๆ ทางกฏหมายมันจะไปซ้ำซ้อนกัน ขอให้เป็นองค์กรเกษตรกร ไม่เป็นนิติบุคคลก็ได้ รวมกลุ่มกันมา เราก็จะทำแผนงานโครงการ” รมว.มหาดไทย กล่าว และว่า สำหรับงบประมาณในแผนงานดังกล่าว เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 6,541ล้านบาทเศษ โดยใช้งบฯกลางปี2558 แบ่งเป็น9กลุ่มใหญ่ มีกิจกรรมต่างๆประมาณ 6,740กิจกรรม จะมีผลต่อเกษตรทั้งหมด 2ล้านกว่าครัวเรือน คิดเป็น4คนต่อ1ครัวเรือน จะส่งผลประมาณ10ล้านคน อย่างไรก็ตามการดำเนินการทั้งหมด จะเริ่มทันทีหลังจากผ่านมติครม. และจะต้องดำเนินการผูกพันให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายนนี้ คาดหวังว่าเกษตรกรสามารถที่จะมีความเข้มแข็งขึ้น มีการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้เขาเพิ่มเติม รวมทั้งเป็นการลดต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต พัฒนาศักยภาพในการทำการเกษตร หรืออาชีพ โครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร พร้อมทั้งสนับสนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น โอท็อป
“เป็นความต้องการของประชาชนที่รวมกลุ่มกันมา เขาก็ทำแผนงานกิจกรรมขึ้นมา ว่าอยากได้ หรืออยากทำอะไร แต่ต้องรวมกลุ่มกันมา และมีหลักการจะทำอย่างไรในทุกๆด้าน ผ่านการกลั่นกรองของระดับจังหวัดขึ้นมาถึงกระทรวงมหาดไทย แล้วจะทำเรื่องประชุมหารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วน6,740กิจกรรม ได้มีการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว รอเพียงความเหมาะสมให้เต็มพื้นที่76จังหวัดทั่วประเทศ เป็นไปตามที่ต้องการ ทั้งเพิ่มศักยภาพ และประสิทธิภาพของเกษตร รวมถึงเป็นความต้องการของเขาอีกด้วย ขณะที่การปฏิบัติ ทางสำนักงบประมาณ กำหนดไว้ว่าจะต้องมีคณะกรรมการระดับจังหวัด ทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย พร้อมหน่วยอื่นๆ เช่น คสช.คือทหารในพื้นที่ การบริหารดำเนินการเป็นไปตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีทุกประการ และจะต้องมีการประเมินผล” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า น้ำท่วมในพื้นที่ทางภาคอีสาน จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการหรือไม่ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ในพื้นที่เขากำลังประเมินอยู่ ถ้าจุดใดประกาศเขตภัยพิบัติ ก็จะสำรวจความเสียหายมาว่าจะดำเนินการอย่างไร ขณะนี้ประกาศไปทั้งหมด10จังหวัด เหลือ2จังหวัด ที่กำลังประสบภัย
เมื่อถามว่า เกษตรกรที่รวมกลุ่มกันมา มีความพร้อมหรือยัง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตอนแรกใช้คำว่ากลุ่ม แต่ในที่ประชุมครม.ค้าน กลัวจะไปซ้ำซ้อนกับกลุ่มเกษตรเดิม จึงมีมติให้เรียกเป็น “องค์กรเกษตรกร” ตามพื้นฐาน ที่คนตั้งแต่2คนมารวมกัน ถือเป็นการจัดตั้ง ก็ได้เสนอไปแล้ว และเตรียมพิจารณากลั่นกรองถึงความเป็นไปได้ เหมาะสม แม้แต่งบฯที่ใช้ เช่น พื้นที่หนึ่งขอชนิดเดียวกัน แต่ราคาไม่เท่ากัน ก็จะมีการปรับงบประมาณให้อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน โดยได้ผ่านขั้นตอนไปแล้ว เข้าครม. เหลือเพียงแต่การนำลงไปปฏิบัติ จะหนักที่ผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการ ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย
เมื่อถามว่า แต่ละองค์กรเกษตรกรเสนอตั้งงบประมาณมาประมาณเท่าไร รมว.มหาดไทย แจงว่า ไม่เท่ากัน แล้วแต่กิจกรรม บางแห่งขอฝึกอบรมก็มี ขอเปลี่ยนยางถ้วยเป็นยางรีดก็ไม่เท่ากัน เป็นความต้องการของเกษตรกร ไม่ใช่เราจับยัดลงไป
เมื่อถามว่าการประเมินผล จะมีขั้นตอนเป็นอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ ตอบว่า เป็นข้อกำหนดของสำนักงบประมาณ ตามแผนงานโครงการมีวัตถุประสงค์ และเกิดผระโยชน์อย่างไร ก็ต้องประเมินผลให้ได้
เมื่อถามว่า งบประมาณจำนวนดังกล่าว จะรวมไปถึงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้วยหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่รวม เรื่องภัยแล้งทางระดับจังหวัดยังไม่ได้มีการสำรวจ
“เรื่องภัยแล้งเดี๋ยวเขาก็คงจะเริ่มสำรวจ บางทีมันลำบาก บางส่วนที่แล้ง ไม่ได้แล้งเพราะฝนก็มี ที่ประกาศเขตไปก็มีผล ส่วนที่แล้งฝน เราก็ช่วยส่งน้ำเข้าไป บางที่ก็ฟื้น เอาตามความเป็นจริง เพราะจะต้องมีกรรมการเซ็นรับรองว่าถูกต้อง จึงจะมีการสำรวจ กระทรวงเกษตรฯจะทำหน้าที่นี้ตามกฏหมายกำหนด” รมว.มหาดไทย กล่าว
ด้านนายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ทางจังหวัดได้มีการเตรียมความพร้อมมาเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นทางกระทรวงมหาดไทย จึงได้ข้อสรุปโครงการทั้งหมดคือ 4,966 โครงการ มีกิจกรรม 6,740 กิจกรรม ใช้เงินทั้งหมด 6,541 ล้านบาท และที่สำคัญจะต้องทำการผูกพันงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างจัดระบบเงินให้เสร็จภายในเดือนกันยายน ขณะนี้สิ่งที่กำลังทำคือการช่วยเกษตรกร และคนยากคนจน ในหมวดที่สำคัญคือหมวดอาชีพ หมวดเรื่องพืช หมวดเรื่องสัตว์ หมวดเรื่องประมง หมวดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หมวดเรื่องปัจจัยการผลิต หมวดเรื่องดูแลทรัพยากรธรรมชาติ หมวดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานในการเกษตร และหมวดเรื่องการทำสาธารนูปโภค แม้กระทั่งเรื่องการต่อไฟฟ้าเข้าไปในพื้นที่เกษตรกรในชนบท
“สาระสำคัญจริงๆคือเม็ดเงิน 6,541 ล้านบาท ต้องไปเร็วและไปตามโครงการที่ได้วางไว้ ระเบียบที่ใช้บังคับกับเรื่องนี้คือระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่เตรียมไว้ตั้งแต่ต้นปี พยายามที่จะปรับปรุงโครงการให้เป็นโครงการจากข้างล่างขึ้นมาข้างบน เป้าหมายจะอยู่ที่องค์กรเกษตรกร เพราะคิดว่าถ้าเอากลุ่มเกษตรกรก็จะไปล็อคอยู่เฉพาะเกษตรกร โดยตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรก็เป็นเพียงกลุ่มเกษตรกรที่อยู่ในกฎหมายฉบับนั้น เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้เราจะกระจายไปสู่เกษตรกรที่รวมกันเป็นกลุ่มที่ทำกิจกรรมร่วมกันหรือกลุ่มที่มีความชัดเจนในเป้าหมายที่ทำร่วมกัน ถ้าผ่านจากอำเภอไปจังหวัดแล้วก็ขึ้นมา” นายอำนวย กล่าว และว่า ถัดจากนี้ไปเหลือเวลาอีก2เดือน หลังจากมติครม.อนุมัติออกไปแล้ว ก็จะได้จัดสรรงบพวกนี้ออกไปที่จังหวัด เพื่อดำเนินการ ถือเป็นการขับเคลื่อนเม็ดเงินสู่ชนบท และเกษตรกร เพื่อช่วยบรรเทา เพิ่มรายได้ และสร้างขีดความสามารถขององค์กรเกษตรกร ขณะที่เศรษฐกิจในชนบท ก็จะหมุนเวียนฟื้นตัวขึ้นมาได้ในส่วนหนึ่งสำหรับสัดส่วนในการพิจารณางบประมานของภาค และจังหวัดจะใช้ตัวงบประมานที่จัดไปเพื่อกิจกรรมการเกษตรและชนบทก็อาศัยพื้นฐานเดิมที่จัดงบประมานเรื่องนี้ ส่วนจำนวนของเกษตรกรที่เข้าโครงการมีทั้งหมด 2,187,000 ครัวเรือน หรือประมาณ 10 ล้านคน ที่เสนอโครงการอยู่ในกลุ่ม และระบบที่เคยดูแลกันอยู่ในชนบทและพื้นที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี