5 ส.ค. 58 ที่รัฐสภา เครือข่ายองค์กรภาคีด้านสุขภาพ จำนวน579องค์กร อาทิ เครือข่ายแรงงาน เครือข่ายครอบครัว เครือข่ายบุหรี่ เครือข่ายเด็ก เครือข่ายผู้หญิง เครือข่ายองค์กรงดเหล้า พร้อมด้วยผู้แทนภาคีเครือข่าย ศ.นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส กรรมการสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกนายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมและนายไฉน ก้อนทองนายกอบต.ดงมูลเหล็ก ต.ดงมูลเหล็ก อ.เมืองจ.เพชรบูรณ์ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนตัวแทนภาคเอกชนนำโดยนายมณเฑียร บุญตัน สมาชิก สนช. ได้ยื่นหนังสือต่อ นายมานิจ สุขสมจิตร รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง ขอคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และบทเฉพาะกาลที่ห้ามและยกเลิกกฎหมายจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ(earmarked tax)หรือ “ภาษีบาป”โดยขอให้นำออกจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
นายมณเฑียรกล่าวว่า ตามที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังพิจารณาในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในช่วงสุดท้ายก่อนสรุปส่งให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) พิจารณารับรอง และเปิดให้มีการลงประชามติ ได้มีการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่เคยเปิดเผยกับสาธารณะมาก่อน ในมาตรา 190 เกี่ยวกับการห้ามตรากฎหมายเพื่อจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (earmarked tax)ซึ่งมีบทเฉพาะกาลให้หน่วยงานที่มีกฎหมายอยู่แล้วให้บังคับใช้ต่อไปอีกไม่เกิน 4 ปี จึงมีการหารือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องและเห็นพ้องที่จะคัดค้านมาตรา 190 ในร่างรัฐธรรมนูญโดยมีเหตุผลในการคัดค้าน 5 ข้อ ดังนี้
1. การห้ามตรากฎหมายเพื่อจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เป็นประเด็นสาธารณะที่ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อน และไม่ได้อยู่ในร่างที่เคยประชาพิจารณ์ในเวทีต่างๆ มาก่อน
2. ภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เป็นวิธีการหรือเครื่องมือทางงบประมาณที่ประเทศต่างๆในโลกใช้ในการจัดสรรภาษีหรือรายได้ในสัดส่วนจำกัด การยกเลิกกฎหมายไม่จัดเก็บภาษีประเภทนี้จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการนำเครื่องมือทางการเงินการคลังมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และติดอยู่กับวิธีทางงบประมาณแบบเก่าเท่านั้น และนับเป็นเรื่องล้าหลังเมื่อเทียบกับกระแสสากลของโลก
3.การจัดเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ของพ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) และ พ.ร.บ. การกีฬาแห่งประเทศไทย ที่มีวงเงินจากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุรา ที่เรียกเก็บเพิ่มจากภาษีที่เข้าคลังตามปกติ คิดรวมกันเพียงประมาณร้อยละ 0.3-0.4 ของงบประมาณแผ่นดินเท่านั้น การยกเลิกกฎหมายที่มีอยู่และห้ามไม่ให้มีอีกในอนาคต โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับการไม่เพียงพอของงบประมาณปกตินับว่าไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
4.แหล่งภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะของประเทศไทย เป็นการจัดเก็บเพิ่มจากภาษีสรรพสามิตสุราและยาสูบเป็นหลัก ไม่ได้แบ่งจากภาษีที่รัฐบาลยังคงเก็บเข้าคลังเต็มจำนวนอยู่แล้ว การยกเลิกกลไกภาษีเฉพาะนี้ จึงเป็นมาตรการที่อุตสาหกรรมทั้งสองได้ประโยชน์และเรียกร้องต่อภาคการเมืองมาตลอด ซึ่งเป็นแนวโน้มในทำนองเดียวกับที่หลายประเทศที่หน่วยงานที่จัดตั้งโดยภาษีเฉพาะ ถูกแทรกแซงจากอุตสาหกรรมที่เสียประโยชน์ต่อนโยบายทางการเมือง น่าเสียใจที่ความหวังของอุตสาหกรรมที่เสียประโยชน์ กำลังจะประสบความสำเร็จในรัฐบาลนี้ และในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคณะนี้และ
5. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้ประกาศตัวในการร่างและประชาพิจารณ์ว่ายึดถือหลักการ “พลเมืองเป็นใหญ่” เป็นหนึ่งในหลักสำคัญ แต่มาตรานี้กลับมีแนวโน้มทำลายกลไกทางสังคม ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้พลเมืองไทย ซึ่งการจำกัดระบบงบประมาณให้ใช้ผ่านระบบราชการเป็นหลักนั้น จะเป็นอุปสรรคสำหรับอนาคตของประเทศไทย ที่มุ่งหวังว่าจะเกิดการปฏิรูปเชิงระบบจากทุกภาคส่วน
ต่อมา นายมานิจ ได้กล่าวภายหลังจากการรับหนังสือว่า ในเรื่องดังกล่าว มีความเห็นไม่ตรงกันในหลายประเด็น เพราะ กมธ.หลายคนมีความห่วงใยในการใช้เงินของ 3 องค์กรดังกล่าว ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งจะได้มีการคุยกันในที่ประชุม กมธ. ยกร่างฯ ในวันที่ 10 - 11 สิงหาคมนี้ โดยจะนำข้อเสนอของเครือข่ายฯ นำไปประกอบการพิจารณาต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี