สั่งแดงล้มรธน.
‘ตุ๊ดตู่’ปลุกกระแสหายนะ
ทำคู่มือแจกแนวร่วมนปช.
สปช.ล่าชื่อยื่นตีความร่าง
ข้องใจยังไม่มี'คำปรารภ'
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งวันนี้มีวาระเพื่อทำเจตนารมณ์ในร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้อ่านประกอบกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญทั้ง 285มาตรา เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากกการอ่านตัวบทบัญญัติเพียงอย่างเดียว โดย กมธ.ยกร่างฯจะนำส่งให้สมาชิก สปช.ในภายหลัง เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องเนื้อหาและถ้อยคำ
บวรศักดิ์หนักใจรุมสับร่างรธน.
ทั้งนี้ ขณะเดินเข้าห้องประชุม ผู้สื่อข่าวได้ถาม นายบวรศักดิ์ ว่า สบายใจขึ้นหรือไม่เมื่อส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ สปช.เมื่อวันที่ 22สิงหาคมที่ผ่านมา นายบวรศักดิ์ กล่าวเพียงสั้นๆว่า “หลังจากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว รู้สึกนอนหลับมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้สบายใจ เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างนี้ ซึ่งถือเป็นสิทธิ์ทุกฝ่ายที่แสดงความคิดเห็นได้”
สปช.2คณะระดมสมองผ่าร่าง
ขณะเดียวกัน มีการประชุมของคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ปฏิรูปการเมือง และคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เพื่อหารือศึกษาแนวทางวัฒนธรรมทางการเมืองการมีส่วนร่วมและแนวโน้มทางการเมือง กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง อีกทั้งจะพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยมี นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ สมาชิกสปช.ด้านการเมือง เป็นประธาน โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้ารับฟัง
สมบัติชี้เกิดรบ.บุฟเฟ่ต์คาบิเนต
นายสมบัติ ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มประชุม ว่า คณะกรรมาธิการทั้ง 2คณะ จะร่วมหารือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี 2ประเด็นหลัก คือโครงสร้างการเมืองการปกครอง และส่วนประกอบอื่นๆที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ ซึ่งสปช.ด้านการเมืองได้ติดตามและมีความกังวลกับประเด็นโครงสร้างหลักมาตลอด โดยกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้ออกแบบให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ เนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเกิดครึ่งหนึ่งของคะแนนเสียง จะถูกตั้งฉายาว่า’บุฟเฟ่ต์คาบิเนต’ อีกทั้งประชาชนอาจไม่เข้าใจถึงผลลัพธ์การบริหารแบบรัฐบาลผสม
นายกฯคนนอกเนื้อหาล้าสมัย
นอกจากนี้ กลไกการตรวจสอบยังไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมี2 ประการคือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจและการถอดถอนโดยรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสส.470คนและสว.200คน ซึ่งต้องใช้เสียงเกินครึ่งหนึ่งในการถอดถอน แต่หากเป็นรัฐบาลผสมตั้งรัฐบาลเกิน 335คน ฝ่ายค้านก็ไม่สามารถถอดถอนรัฐบาลได้ แต่รัฐบาลถอดถอนฝ่ายค้านได้ ซึ่งจะเห็นว่าประสิทธิภาพการตรวจสอบอ่อนแอ นอกจากนี้ กมธ.ยกร่างฯ ได้กำหนดว่าหากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ตรวจสอบกลไกการทำงานของรัฐบาลแล้วไม่ได้ผลให้เสนอคำร้องต่อประธานศาลฎีกาเพื่อให้ตั้งผู้ไต่ส่วนอิสระนั้น กระบวนการนี้เป็นไปได้ยาก ส่วนเนื้อหาเปิดช่องให้มีนายกฯคนนอกนั้นถือว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ล้าหลังกว่าปี2540และ2550
ไม่มีคำปรารภสมบูรณ์หรือไม่
ต่อมา เวลา 14.20น. นายสมบัติ พร้อมด้วย นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช.,นายอุดม เฟื่องฟุ้ง สมาชิก สปช.และนายนิรันดร์ พันทรกิจ สมาชิก สปช. ร่วมแถลงข่าวถึงผลประชุมร่วมของคณะ กมธ.ทั้ง 2คณะ
โดย นายสมบัติ กล่าวว่า ที่ประชุมหารือกัน 3ประเด็น คือ 1.ความแล้วเสร็จของร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งพบว่า ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำปรารภ โดย กมธ.ยกร่างฯระบุว่า เป็นหน้าที่ของเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะเขียนในภายหลัง แต่เมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญปี2540และ2550 พบว่า คณะผู้ยกร่างฯได้ระบุคำปรารภไว้แล้ว แต่จะเว้นเฉพาะช่องวันที่ 2.คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่จะเป็นปัญหา 3.การเลือกตั้งระบบสัดส่วนผสมและการสรรหา สว.สมัยแรก จำนวน 123คน
ล่าชื่อสปช.ส่งศาลรธน.ตีความ
นายอุดม กล่าวว่า ตั้งแต่ตนได้รับร่างรัฐธรรมนูญตรวจดูพบว่า ไม่มีคำปรารภ จะถือว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่แล้วเสร็จจริงหรือไม่ จึงไปสอบถามกับอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี2550 คนหนึ่ง ซึ่งไม่ขอเอ่ยนามระบุว่า รัฐธรรมนูญไม่มีคำปรารภจะถือว่า สมบูรณ์ไม่ได้ เพราะกฎหมายยังต้องมีระบุของหลักการและเหตุผล ดังนั้นตนจะทำหนังสือ พร้อมทั้งรวบรวมรายชื่อสมาชิก สปช.ส่งไปถึง นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.เพื่อให้ใช้ดุลยพินิจส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องความแล้วเสร็จของร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนจะมีการทำประชามติต่อไป
‘บวรศักดิ์’ชี้เป็นพระราชอำนาจ
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว นายบวรศักดิ์ เปิดแถลงข่าวว่า เรื่องคำปรารภเป็นพระราชอำนาจที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักราชเลขาธิการ จะทำหน้าที่ยกร่างคำปรารภเพื่อทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัย ซึ่งเชื่อว่าจะดำเนินการยหลังร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว โดยผู้ที่ดำเนินการคือ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักราชเลขาธิการ เป็นผู้ยกร่างคำปรารภ จากนั้นจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ และได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นแนวทางปฏิบัติคือสามารถยกร่างหรือไม่ยกร่างคำปรารภก็ได้ แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องของพระราชอำนาจที่จะต้องชี้ขาดภายหลังที่สุด
‘เสรี’ซัดกก.ยุทธศาสตร์ฮิตเล่อร์
ด้าน นายเสรี กล่าวถึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ว่า เท่าที่ดูเนื้อหาสาระจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการใช้อำนาจบริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมีการกำกับดูแลการทำงานของรัฐบาล โดยให้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯเสนอ ภายใต้เสียง 3ใน4ของจำนวนคณะกรรมการ ทำให้รัฐบาลดำเนินการเหมือนถูกบังคับ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลได้ อีกทั้งไม่ทราบว่าใครจะมาเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ในช่วงเวลา 5ปี เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯจากการรวมตัวของพรรคการเมืองก็จะมีอำนาจครอบงำเบ็ดเสร็จสูงสุดกว่าอำนาจอธิปไตยของประเทศ มีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง สรุปคือ มีแนวโน้มจะไปในทางที่ไม่ดีมากกว่าดี
กมธ.พร้อมแจงข้อข้องใจทุกปม
ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษ กมธ.ยกร่างฯแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการกำหนดให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ(คปป.) ในร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา260 ว่า ประเด็นนี้ กมธ.ยกร่างฯพิจารณากันอย่างหนัก เมื่อมีบทสรุปออกมาในแต่ละขั้นตอน ก็แถลงอย่างเปิดเผย ไม่ได้ซ่อนเร้นอะไร เพียงแต่มีพัฒนาการของบทบัญญัติว่าด้วยรูปแบบของกลไกพิเศษ ตลอดจนอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์กับรัฐบาลปกติมาเป็นระยะๆ จนกระทั่งลงตัวเมื่อใกล้ถึงกำหนดส่งมอบงาน
นายคำนูณ กล่าวอีกว่า จุดแตกต่างสำคัญที่สุดของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การมี“กลไกพิเศษ”เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง รวมทั้งมี“อำนาจพิเศษ”ให้สามารถดำเนินการระงับ ยับยั้ง วิกฤตระดับที่กลไกปกติทำไม่ได้แล้วเฉพาะระยะเวลา 5ปีแรก คู่ขนานไปกับรัฐบาลปกติ โดยมีนายกฯ ประธานรัฐสภาและประธานวุฒิสภา ร่วมอยู่ในกลไกนี้ ซึ่งกมธ.ยกร่างฯตระหนักดีว่า จะต้องมีผู้ไม่เห็นด้วยและต่อต้านคัดค้าน แต่เราเชื่อมั่นว่า คำตอบสุดท้ายจะอยู่ที่ประชาชนผ่านการลงประชามติต้นปี2559 เราจะชี้แจงกับประชาชนในทุกประเด็น ไม่ซ่อนเร้น ทุกครัวเรือนจะได้รับร่างรัฐธรรมนูญพร้อมคำอธิบาย
‘พิชัย’ลั่นผ่านประชามติไม่ลงลต.
ขณะที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญที่ กมธ.ยกร่างฯเสนอให้ สปช.พิจารณารับหรือไม่รับร่างว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาไม่ได้ให้อำนาจแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ และร่างจะผ่านความเห็นชอบจาก สปช.หรือไม่ ต้องรอดูหลักการพิจารณาภาพรวมของสปช.ขณะเดียวกันต้องดูสัญญาณจากผู้ที่แต่งตั้งสปช.เข้ามาเช่นกัน แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ผ่านประชามติจากประชาชน เพราะประชาชนเข้าใจว่า ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจกับประชาชนอย่างแท้จริง
“ถ้าร่างผ่านทำประชามติก็จะขอไม่ลงเลือกตั้งดีกว่า เพราะไม่มีประโยชน์ ถ้าเลือกตั้งมาแล้ว มีพรรคการเมืองได้เสียงข้างมากอย่างเดิมและระหว่างบริหารประเทศของรัฐบาล มีการจัดตั้งกระบวนการประท้วงขึ้นมา แล้วมีคนมาบอกว่า เกิดสถานการณ์ไม่สงบ ก็มีกระบวนการเข้ามากำกับดูแล ตั้งรัฐบาลใหม่ แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ปัญหาวังวนเดิมๆก็จะเกิดขึ้นมาไม่จบสิ้น” พิชัย กล่าว
‘ตู่’สั่งแกนนำนปช.ทั่วไทยคว่ำร่าง
ขณะเดียวกันเพจเฟซบุ๊คของpeacetv.udd ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)กล่าวผ่านรายการ’มองไกล’ออกอากาศผ่านทางยูทูป ซึ่งบางช่วงบางตอนกล่าวถึงกรณีที่ นายดิเรก ถึงฝั่ง สปช.ออกมายอมรับว่า ต้านทานเสียงสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญไม่ไหว ซึ่งเสียงสนับสนุนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญมีเพียง 20เสียงนั้น
นายจตุพร ระบุว่า การลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ สปช.ในวันที่ 6กันยายน มีอยู่ทางเดียวที่ สปช.จะคว่ำคือ มีคำสั่งให้คว่ำและการผ่านร่างดังกล่าวเชื่อว่า จะไม่ง่ายเหมือนรัฐธรรมนูญปี2550 เพราะขณะนั้นให้ผ่านร่างไปก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง คล้าย สสร.ปี2540 ทุกอย่างถือเป็นกลลวง เนื่องจากเนื้อหาสาระมีความเลวร้ายที่สุดในรอบ 83ปี ซึ่งเลวร้ายกว่าปี2550 ดังนั้นจึงอยากฝากเพื่อนแกนนำคนเสื้อแดงว่า อย่าอยู่ในวังวน หากมีคนถามว่า จะบอยคอตร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ มีคำตอบเดียวคือ ต้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญและคว่ำโดยประชาชน แต่หากมีเลือกตั้งก็ต้องพร้อมเลือกตั้ง โดยตนเตรียมหารือแกนนำเรื่องจัดทำหนังสือชี้แจงเรื่องสำคัญที่ไม่ดีในร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเหตุผลที่ต้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะอธิบายเป็นข้อๆถึงความหายนะของร่างรัฐธรรมนูญ โดยขอเรียกร้องไปยังผู้มีอำนาจว่า อย่าห้ามในการดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากเป็นความเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่มีความแตกแยก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี