27 ส.ค.58 ที่ห้องประชุมบุญชู โรจนเสถียร ตึกเอนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดงานมอบรางวัล "ผลงานวิชาการที่สร้างสรรค์ และกสร้างผลสะเทือนทางสังคมและการเมือง" โดยมี นายนรนิติ เศรษฐบุตร สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตแกนนำนักศึกษายุค 14 ตุลา ศ.ดร.สุริชัย หวันแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายยศ สันตรสมบัติ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จากนั้นเวลา ได้มีการบรรยายในหัวข้อ "การกระจายอำนาจ ท้องถิ่นและวัฒนธรรม" โดย นายธีรยุทธ กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่เห็นได้ชัดคือ กระบวนการที่ทำให้ความสำคัญของชาวบ้าน ชุมชน ชาวไร่ ชาวนา กลุ่มชาติพันธ์ย่อย ให้มีความสำคัญในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ นับเป็นเรื่องสำคัญมากไม่แพ้เหตุการณ์ 14 ต.ค.สิทธิเสรีภาพค่อยๆ แพร่ไปมาจากผลงานทางวิชาการภายใต้ระยะเวลา 20 ถึง 30 ปี แต่คนไทยมองอดีแบบฉาบฉวย เวลาจะเดินไปข้างหน้าก็เหมือนคนตาบอด ใครจูงไปทางไหนก็ไป
จากการสังเกตในการจัดทำรางวัลนี้ รวมทางการศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดในสังคมไทย ความคิดซึ่งมีบทบาทต่อภาคปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่ความคิดของนักคิดภาคสังคมมากเท่าไหร่ แต่ผู้มีบทบาทมากนั้นเป็นนักคิดในสังกัดรัฐ ไม่ว่า คุณหลวงหรือ พญาต่างๆ ซึ่งแสดงว่ารัฐไทยเข้มแข็งกว่าภาคสังคมมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังพอมีนักคิดแบบ อาจารย์ปรีดี อาจารย์ป๋วย เสนีย์ เสาวพงษ์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ รวมทั้ง จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ความเขื่อในแนวคิดลัทธิมาร์กซิสต์ ก็ทำให้คนรู้สึกอยากต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ต่อต้านสิ่งไม่ถูกต้อง ผลักดันประวัติศาตร์ให้ก้าวไปข้างหน้า เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลทำให้คนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อโลกที่ดีกว่า แต่ตนไม่มั่นใจว่า "ประชาธิปไตย" มีผลที่เกี่ยวกับนักคิดเหล่านั้นส่งผลมาถึงรุ่นหลังมากขนาดไหน แต่เรื่องที่ส่งผลมาถึงยุค 14 ต.ค.แน่ๆ คือ "เรื่องศักดิ์ศรีความเป็นคน" การที่อยากเหก็นบ้านเมืองก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งเราขาดหายไปในช่วงเผด็จการทหาร ในยุค พล.อ.สฤษฎ์ พล.อ.ถนอม คนที่ไม่มียศก็จะถูกมองไม่เห็นหัว รวมทั้งเรื่องคอร์รัปชั่นและการเล่นพวกพ้องล้วนส่งผลกระทบถึงเรื่องศักดิ์ศรีที่ประชาชนรู้สึกทั้งสิ้น แต่ถัดจากนั้นนักคิดของประเทศไทยก็มีผลกระเทือนลดลงไปในทางสังคม
ทั้งนี้ งานวิชาการที่ได้รับผลกระทบจากเหล่านักคิด นักวิชาการในอดีตที่ผ่านมา กระตุ้นแนวคิดในเรื่องความเคารพในความแตกต่างหลากหลายในสังคมไทย โดยเฉพาะการเคารพต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวบ้าน และยังก่อให้เกิดการส่งเสริมให้คนหนุ่มสาว สนใจเรื่องสิทธิในการดูแล ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสภาพแวดล้อมของประเทศ และสร้างเป็นธรรมให้แก่สตรีและเรื่องเพศศึกษาหากมองโดยกว้าง ในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา นอกจากเหตุการณ์ 14 ต.ค.สภาพแวดล้อมของประเทศตอนนี้ ใช่ว่าจะทำไรได้ง่ายๆโดยไม่ก่อให้เกิดความเห็นขัดแย้ง คณูปการเหล่านี้ส่งผลไปถึงเรื่องการเมือง และกแยกไม่ออกกับเรื่องเสรีภาพของเหล่านักศึกษา ปัญญาชน ตนรู้สึกว่าการตระหนักถึงสิทธิ เสรีภาพของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเราจะบอกว่าขณะนี้เป็นวิกฤตของประเทศหรือไม่ จะต้องมีการจำแนกให้ชัดว่า เสรีภาพทางวิชาการต้องไม่ถูกหยุดยั้ง จิตวิญญาณในการปกปักรักษาเสรีภาพในมหาวิทยาลัยในขณะนี้นั้นน้อยไป โดยเฉพาะจากแวดวงบริหารในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็น ไม่ว่าตนจะไปพูดที่ไหนก็จะรับผิดชอบตลอด และไม่เคยกังวลว่าจะพูดอะไรที่ไม่ส่งผลดีหรือมอบประโยชน์แก่สังคมโดยรวม ตั้งแต่มีการชุมนุม กปปส.เป็นช่วงที่ตนมีปัญหาทางความคิด ต้องทบทบทวนตัวเองอย่ามาก ว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย คนไทยมองประชาธิปไตยอย่างไร หรือว่าเราเองเข้าใจประชาธิปไตยได้ถ่องแท้ขนาดไหน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น ตนมองเห็นปัญหาว่า คนไทยจำนวนมากมอง
"ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุอะไรบางอย่าง มากกว่าการมองว่าประชาธิปไตยเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตที่ควรจะเป็น ซึ่งเสียงสะท้อนบอกว่าคนไทยไม่ตระหนักถึงเรื่องสิทธิ และไม่ได้เข้าใจอย่างเต็มที่นัก หากมองว่าประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือมากกว่าส่วนประกอบของชีวิต ทำให้เรามองด้อยค่าลงไปกว่าต่างประเทศหรือที่อื่นๆ ที่เขาบอกได้เต็มปากว่าเป็นเขาสังคมประชาธิปไตย หากเปรียบประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือ ก็สามารถวางทิ้งไว้ได้ หยุดพักได้ หรือหยิบมาใช้เพียงบางส่วนได้ ซึ่งเราไม่ได้อุทิศตนเองเพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้" นายธีรยุทธ กล่าว
ปัญหาที่เห็นได้ในภาพกว้างคือ ปัญญาชน นักศึกษา ชนชั้นกลาง ที่ตื่นตัวมาหลังยุค 14 ต.ค.โอบกอดหรือสมาทานประชาธิปไตยผ่านสิ่งที่ตนเองได้มาผ่านเสรีภาพ และความเท่าเทียมกับคนอาชีพต่างๆ กับทหาร หรือข้าราชการ นักการเมืองสมาทานประชาธิปไตยแค่การเลือกตั้ง และตำแหน่งในรัฐสภา ส่วนชาวบ้านโดยทั่วไปสมาทานประชาธิปไตยเฉพาะการเลือกตั้ง กับการที่มีตัวแทนเป็นปากเสียงแทน หรืออาจเป็นแหล่งเพื่อเพิ่มฐานะทางสังคม หรือหาประโยชน์ให้ชุมชนนั้นๆ สำหรับกลุ่มทุนได้ประโยชน์จากประชาธิปไตยมากที่สุด แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยเลย ต้องดูว่าจะต้องจ่ายเงินให้นักการเมือง หรือพรรคการเมืองเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้รับโปรเจ็คขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอะไรที่เอียงมากและทำให้ประชาธิปไตยเดินไปอย่างกระท่อนกระแท่น และเจอการสะดุดมาหลายหน จึงทำให้การเดินหน้าไม่เหมือนที่อื่น
"ที่ผ่านมามีเพื่อนยุค 14 ต.ค.บางคนคุยกับผมว่า บ้านเราปกครองอย่างนี้ก็ดี มีทหารปกครองทำให้บ้านเมืองสงยเรียบร้อย ไม่มีเรื่องวุ่นวาย ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้สมาทานกับบางส่วนของประชาธิปไตยแค่นั้นเอง หากเขารู้สึกว่ายังพอมีเสรีภาพที่จะพูดได้ก็พอใจ ต่อมาจึงทำให้เกิดความสบายใจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนที่เป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงใหญ่ช่วง 14 ต.ค.มีความคิดที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเราสามารถหยุดพักประชาธิปไตยหรือใช้เพียงครึ่งเดียวได้" นายธีรยุทธ กล่าว
ชาวบ้านเป็นจุดสำคัญมาก ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ ต้องเข้าถึงชาวบ้านจริงๆ หากไม่มีประชาธิปไตยชุมชน โอกาสเกิดประชาธิปไตยที่มั่นคง คงลำบาก ปัญหาที่ง่ายถึงยากมากจะไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าจะพันกันเป็นดินพอกหางหมู และแก้ด้วยวิธีที่สุดขั้วมาก ซึ่งทำให้ไม่เกินการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ก่อให้เกิดความรุนแรง และจบด้วยการรัฐประหาร ตัวอย่างเช่น ปัญหาวินมอเตอร์ไซด์บริเวณถนนสีลม ควรแก้ด้วยชุมชนตรงนั้นเอง แต่ความจริงคือ ปัญหาดังกล่าวแก้ไม่ได้หากไม่มีรัฐประหาร โดยให้ทหารที่คุมกองกำลังสำคัญที่สุดของประเทศไทยเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยไม่มีสมดุลในการแก้ปัญหาแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการมองปัญหา การแก้ปัญหา การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
วิธีการแก้ปัญหาที่ใช้ในตอนนี้ยังคงแก้โดยวิธีแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ซึ่งตนคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง คนที่สมาทานกับความคิดแบบนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะมีการควบคุมสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อย จากนั้นก็ให้มีคณะกรรมการชุดหนึ่งไปร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่แนวคิดดังกล่าวเคยมีการพิจสูจน์มาแล้วทั้งในปี 40 และปี 49 โดยตนมองเห็นทิศทางต้องลงไปสู่ตัวคนรากหญ้า ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจกำลังแย่
ตนเต็มใจที่จะคุยกับทุกคนว่าปัญหาจะแก้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง แดง นักการเมือง ทหาร และตนก็เชื่อว่านักวิชาการส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น คนที่เลือกสีเลือกข้างตนคิดว่ามีน้อย แต่คนที่มองปัญหาแบบเปิดและหาวิธีการแก้ว่าจะแก้อย่างไรดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเกี่ยวกับโอกาส วาสนา บารมี ในการขอความช่วยเหลือ หากคนที่รู้จักกับตนเองมีอำนาจก็สามารถก่อให้เกิดได้
"ความสมานฉันท์ไม่สามารถเกิดจากการเขียนกฎหมายแน่นอน หรือเกิดจากการออกคำสั่งก็ไม่ได้ จากการร้องเพลงก็ไม่ได้ เพราะความสมานฉันท์ต้องเกิดจาการยินยอมพร้อมใจ เต็มใจ ซึ่งเราเต็มใจกับเรื่องความจริง ความถูกต้องที่สุด ผู้มีอำนาจมีหน้าที่ในการหาความจริง ความถูกต้อง ทั้งทางการเมือง ปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องมีการชี้แจงว่าปัญหาเกิดจากอะไร เผยแพร่ความคิดให้เยอะที่สุด เมื่อคนรับรู้ความจริงแล้วก็สามารถวิเคราะห์ต่อไปได้" นายธีรยุทธ กล่าว
เราต้องมองปัญหาให้ถูก แล้ววิธีแก้ที่ถูกต้องจะตามมา ปัญหาใหญ่ของเราคือเราคิดต่างกันทาง คสช.ท่านยังคิดแบบวิชาชีพของท่าน ซึ่งตนก็เข้าใจ ท่านถือว่าภารกิจของท่านคือเรื่องชาติ ความมั่นคง รัฐและชาติจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ตามที่ คสช.บอกว่า มาควบคุมอำนาจเพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง แต่แนวคิดดังกล่าวก็ไม่ได้คลอบคลุมในปัญหาอื่น และไม่ได้พิจารณาเท่าที่ควรจะเป็น และคนแต่ละคนมองปัญหาต่างกัน
ตนคิดว่าสิ่งที่ขาดหายมากที่สุด ทำอย่างไรจะสามารถดึงพลังชาวบ้านและพลังประชาชนทั่วไปมาเป็นฐานให้กับประเทศ ทั้งพลังแรงกาย แรงใจ ทั้งหมด เพื่อสามารถแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่องอัตลักษณ์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่ชาวบ้านจะต้องมี เพื่อเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งของประชาธิปไตย และเป็นหัวใจสำคัญของสังคมไทย แต่ชาวบ้านกลับไม่รู้ว่าอำนาจของตนหายไปหลังมีการเลือกตั้ง ซึ่งตรงนี้เองจำเป็นจะต้องผลักดันต่อไป และยังไม่คาดหวังมากหากมีคนเห็นด้วยในการกระจายสิทธิของตนเองในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านมีประชาธิปไตยเป็นวิถี ซึ่งจำเป็นจะต้องมีวิธีการซับซ้อนมากกว่ากฎหมาย ย้ำว่าต้องทำให้เกิดอัตลักษณ์ ตัวตน กับการเคารพสิทธิอำนาจของตนเองให้มาก ซึ่งจะเป็นหลักของการปฏิรูปทุกด้าน และการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี