เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัว เดินทางไปยื่นหนังสือต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เพื่อคัดค้านบัญชีพยานบุคคลและพยานเอกสารที่อัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะโจทก์ยื่นฟ้องคดีรับจำนำข้าว ที่ได้เพิ่มเติมพยานหลักฐานเอกสารกว่า 70,000 หน้าและพยานบุคคล 23 ราย
“ปู”ส่งทนายค้านอสส.เพิ่มพยาน
โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุเหตุผลที่ยื่นคัดค้านบัญชีพยานดังกล่าวว่า เพราะอยู่นอกสำนวนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ยื่นฟ้อง และไม่ได้ไต่สวนมาก่อนในคดีนี้ และจำเลยไม่มีโอกาสตรวจสอบและคัดค้านมาก่อน พร้อมทั้งอ้างถึงพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2552 มาตรา 5 ที่ระบุชัดเจนว่า ในการพิจารณาคดีให้ศาลยึดรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นหลักในการพิจารณา
“ตามกฎหมายและหลักของความเป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเพิ่มพยานเอกสารและพยานบุคคลนอกเหนือจากสำนวนของ ป.ป.ช.ในชั้นนี้ได้ ถือเป็นการเอาเปรียบทางคดีอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมต่อตัวดิฉันเป็นอย่างยิ่ง จึงยื่นคำร้องโต้แย้งไม่ให้ศาลรับพยานหลักฐานดังกล่าว” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
ท้าหลักฐานสมบูรณ์จริงอย่ายื่นเพิ่ม
ขณะที่นายนรวิชญ์กล่าวว่า ในชั้นไต่สวนข้อเท็จจริงของป.ป.ช. เราเคยร้องขอให้ไต่สวนพยานหลายปาก ซึ่งเป็นพยานสำคัญ และเกี่ยวข้องในกลไกการบริหารของโครงการรับจำนำข้าวทั้งสิ้น ที่จะแสดงให้เห็นว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ทำผิดตามที่กล่าวหา แต่ป.ป.ช.ไม่ไต่สวนพยานดังกล่าว ได้เร่งมีความเห็นชี้มูลถอดถอนและชี้มูลความผิดทางอาญา ภายหลังอสส.ได้รับสำนวนและมีความเห็นชี้ข้อไม่สมบูรณ์ 4 ประเด็น เพื่อให้สอบเพิ่มเติม แต่ยังไม่ทันไต่สวนข้อเท็จจริง ในข้อที่ชี้ไม่สมบูรณ์ทั้ง 4 ประเด็น ต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องคดี ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จะลงมติถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์
“ดังนั้นเมื่อป.ป.ช.และอัยการสูงสุดเห็นว่า ก่อนฟ้องคดีนี้พยานหลักฐานชั้นไต่สวนข้อเท็จจริงสมบูรณ์เพียงพอจนมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว ก็ไม่ควรเพิ่มพยานบุคคลและพยานเอกสาร ที่ไม่ได้ไต่สวนไว้ในชั้นป.ป.ช.และชั้นอัยการสูงสุดอีก”นายนรวิชญ์กล่าว และตั้งข้อสังเกต 2 ประเด็นคือ วันที่สนช.ลงมติถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ตามกฎหมายต้องยึดรายงานสำนวนป.ป.ช.เป็นหลักนั้น รายงานสำนวนถอดถอนของ ป.ป.ช. สมบูรณ์จนเป็นเหตุให้ถอดถอน และเป็นเหตุให้มีความเห็นสั่งฟ้องจริงหรือไม่
นัดตรวจพยาน31สค.“ปู”ไปเอง
มีรายงานว่า คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา นัดฟังคำสั่ง คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลยฐานละเว้นปฎิบัติหน้าที่และใช้อำนาจหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว โดยอัยการโจทก์เตรียมพยานบุคคลไว้ 23 ปาก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. รวมทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุต่างๆ แผ่นซีดี โดยระบุในการจัดทำบัญชีพยาน เพื่อให้ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่รับฟังได้เป็นที่ยุติว่าจำเลยทำผิดตามฟ้องอย่างไรบ้าง และเพื่อยืนยันการได้มาซึ่งเอกสารราชการต่างๆ รวมทั้งประเด็นในข้อกฎหมายว่าจำเลยมีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ซึ่งขณะนี้พยานหลักฐานฝ่ายโจทก์น่าจะเพียงพอแล้ว
“อัยการมั่นใจว่าหลักฐานครบถ้วนทุกประเด็นตามที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องเพื่อให้ศาลรับฟังเป็นที่ยุติได้ ส่วนพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยจะยื่นบัญชีพยานเท่าไหร่ต้องรอดูวันนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง” รายงานข่าวระบุ
ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาคดีจำนำข้าว นัดตรวจหลักฐานวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันเดินทางไปด้วยตัวเอง
คุก1ปีปรับ5หมื่น3พิธีกรสายล่อฟ้า
วันเดียวกัน ศาลอาญา พิพากษาจำคุกนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต นายเทพไท เสนพงศ์ และ นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา และดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฎิบัติงานตามหน้าที่ กรณีร่วมกันจัดรายการสายล่อฟ้า ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย เมื่อวันที่ 10 และ 15 กุมภาพันธ์ 2555 มีเนื้อหาทำนองใส่ความน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าไม่เข้าประชุมรัฐสภา ไปทำภารกิจ ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ทั้งนี้ ศาลพิจารณาถ้อยคำของจำเลยทั้งสามแล้วเห็นว่ามีเจตนาทำให้ผู้ชมรายการเข้าใจว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์หนีประชุมรัฐสภาไปทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เป็นการใส่ความทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ไม่ใช่การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯหรือติชมด้วยความเป็นธรรม ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง พิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสามคน คนละ 1 ปี พร้อมปรับ 5 หมื่นบาท แต่จำเลยทั้งสามคนไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และให้ยึดเทปรายการดังกล่าวมาทำลาย และลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ ติดต่อกัน 7 วัน ส่วนความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงานตามหน้าที่ พยานหลักฐานยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์ความสงสัยให้จำเลย
สนช.นัดถกถอดถอนสมศักดิ์17ก.ย.
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.แจ้งที่ประชุม ก่อนเข้าวาระกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นเรื่องให้สนช.พิจารณาถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรมว.ศึกษาธิการ กรณีร่ำรวยผิดปกติว่า ขอให้สมาชิกไปรับรายละเอียดและเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ตั้งแต่บัดนี้ และนัดประชุมวันที่ 17 กันยายน เพื่อกำหนดกรอบกระบวนการพิจารณาถอดถอน
สนช.ใช้เวลา4ชม.ผ่านงบปี2559
สำหรับการประชุม สนช.วันเดียวกันนี้ มีวาระการประชุมที่สำคัญคือ การพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2559 วงเงิน 2.72 ล้านล้านบาทเป็นรายมาตรา ในวาระที่2และเห็นชอบในวาระ 3 ทั้งนี้ มีการปรับลดลงวงเงินเหลือ 20,582ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายงบประมาณวันนี้ มีสมาชิกอภิปรายเพียงไม่กี่คน อาทิ นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ นายทวีศักดิ์ สูทกะวาทิน นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ และนพ.เจตน์ ศิระธรานนท์ เป็นต้น ทั้งนี้ การพิจารณาวาระ 2 มีผู้สงวนคำแปรญัตติเพียง 2 คนคือ นายทวีศักดิ์และนายมณเฑียร บุญตัน หลังพิจารณาเรียงมาตราโดยเป็นไปตามที่กรรมาธิการฯแก้ไข หลังอภิปรายเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมลงมติเห็นชอบวาระ3 ด้วยคะแนน 184 งดออกเสียง4 ก่อนประกาศใช้ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี