5 ก.ย.58 นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท ว่า วันนี้เป็นที่แน่ชัดอย่างยิ่งว่า คสช.และรัฐบาลจะอยู่บริหารประเทศต่อไปอีกนานพอควร ด้วยรัฐธรรมนูญคงไม่สามารถนำมาใช้ได้ในเร็ววันนี้ ด้วยเหตุนี้จึงอยากบอกกล่าวย้ำเตือน ในซึ่งสิ่งหนึ่งที่ตนได้เน้นย้ำมาโดยตลอด คือ อยากให้ผู้บริหารปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการแก้ไขปัญหา เพราะหลายมาตรการที่ผ่านมาถูกพิสูจน์แล้วว่า สูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมากแต่กลับไม่ได้ผลตามต้องการ กับมาตรการใหม่นี้ก็เช่นกันที่ตนไม่มั่นใจว่า จะส่งผลดีหรือสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้ เพราะถือเป็นมาตรการในลักษณะประชานิยมซึ่งรัฐบาลนี้ก็เคยดำเนินการมาแล้วโดยทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดเดิม
ซึ่งผลที่สุดแล้วก็ไม่สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้จนเป็นเหตุสำคัญให้มีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ แต่เมื่อคนใหม่เข้ามาก็ยังยึดแนวทางเดิม จึงไม่เห็นทิศทางว่าจะแตกต่างหรือดีกว่าคนเก่าอย่างไร เพราะยังคงนำเงินในอนาคตมาใช้และเป็นเงินของรัฐ จุดนี้เป็นผลมาจากการเลือกใช้แต่คนหน้าเดิมๆ ซึ่งยังมีหลักคิดเดิมๆที่ไม่เข้าใจ และคิดไม่ได้ ว่าต้องแก้ไขปัญหาให้ประเทศอย่างไร รวมทั้งขาดความเข้าใจว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม จึงควรมุ่งไปที่การสนับสนุนภาคการเกษตร ผลผลิตทางการเกษตร และพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการเกษตรมากกว่าที่จะนำงบประมาณซึ่งมาจากภาษีของคนทั้งประเทศไปให้แก่คนเพียงกลุ่มเดียว แต่กลับอ้างว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายอุเทน กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลนี้จะนำงบประมาณถึง 6 หมื่นล้านบาทไปปล่อยกู้ผ่านกองทุนหมู่บ้าน โดยไร้ดอกเบี้ย 2 ปีนั้น แง่หนึ่งยอมรับว่าเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชน แต่ก็ยังมีความเป็นห่วงว่า หากบริหารจัดการได้ไม่ดี ก็สุ่มเสี่ยงที่จะล้มเหลวเหมือนกับกองทุนหมู่บ้านในรัฐบาลที่ผ่านๆมา ที่มีการเล่นพวกให้กู้ยืมแต่เฉพาะกลุ่มผู้ใกล้ชิดและมีการเบี้ยวไม่ชำระหนี้ เพราะแม้รัฐบาลนี้จะบอกว่า ได้มีการเข้าไปปรับปรุงฟื้นฟูใหม่แล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่สามรถยืนยันว่า กองทุนหมู่บ้านแต่ละแห่งมีมาตรการในการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพแล้วจริงหรือไม่ จึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้งบประมาณที่สูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์เพียงเพื่อต้องการภาพลักษณ์ เหมือนที่ตนเคยคัดค้าน และไม่เห็นด้วยกับนโยบายประชานิยมมาโดยตลอดในอดีต
"อยากวิงวอนให้ คสช.พิจารณาทบทวนมาตรการหรือนโยบายที่เป็นประชานิยมซึ่งออกโดยรัฐบาล เพราะผมเชื่อว่าไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างยั่งยืน แต่หากไม่ทบทวน ก็ขอให้กำกับดูแลการใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนให้คุ้มค่าที่สุด เพราะไม่อยากให้ซ้ำรอยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านๆ มา ซึ่งใช้งบประมาณไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้ผล" นายอุเทน กล่าว
นายอุเทนกล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่านั้น คือการที่กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมที่จะเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) งบประมาณ 1 แสนล้านบาทให้ที่ประชุม ครม.อนุมัติ โดยจะมีกองทุนพลิกฟื้น SMEs เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการนั้น ตนเห็นว่าแม้ SMEs จะเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่การจะใช้งบประมาณถึง 1 พันล้านบาทไปตั้งกองทุนดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ SMEs นั้นไม่น่าจะถูกต้อง เกรงว่าจะเป็นไปในลักษณะการยกหนี้สินให้มากกว่าการพักชำระหนี้ ซึ่งส่งผลเสียหายทั้งในแง่งบประมาณ และวินัยการเงินของ SMEs เอง เช่นเดียวกับแนวคิดนิรโทษกรรมความผิดเกี่ยวกับภาษีที่มีการพูดกันอยู่ ถือเป็นการปลูกฝังแนวคิดผิดๆ และสนับสนุนให้คนหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ ที่สำคัญทำให้ประเทศต้องสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลด้วย
"รัฐบาลไม่ควรส่งเสริมให้คนกระทำผิด ด้วยการหนีภาษีหรือเบี้ยวหนี้ และต้องยึดหลักความเป็นจริงที่ว่า จะเป็นใครก็ตาม เมื่อเป็นหนี้ต้องชดใช้ คนทำผิดต้องถูกลงโทษ ต้องติดคุก SMEs มีปัญหาเรื่องหนี้สินก็ควรแค่พักชำระหนี้ และชี้ช่องทางที่เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อจะสามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไป ดีกว่าการยกหนี้ให้ กองทุนการพลิกฟื้น SMEs จึงต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน"นายอุเทน ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี