ตีตก!'ยิ่งลักษณ์'ยื่นฟ้อง'อสส.' ศาลชี้ขั้นตอนชอบด้วยกฎหมาย
วันอังคาร ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558, 14.26 น.
Tag :
6 ต.ค. 58 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำ อท.25/2558 ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) นายชุติชัย สาขากร ผู้ตรวจการอัยการ และอดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายกิตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ซึ่งเป็นคณะทำงานพิจารณาคดีโครงการรับจำนำข้าว และมีความเห็นส่งฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 200
ศาลพิเคราะห์คำฟ้องและข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยไม่ได้ไต่สวนข้อสมบูรณ์ให้เสร็จสิ้น ก่อนมีคำสั่งฟ้องนั้น เห็นว่าตามฟ้อง โจทก์กล่าวเพียงว่าจำเลยที่ 1 มีความเห็นสั่งฟ้องโจทก์ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าการไต่สวนข้อไม่สมบูรณ์ยังไม่แล้วเสร็จ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายยืนยันว่าไม่มีการประชุมของคณะทำงานทั้งสองฝ่ายเพื่อพิจารณาหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะส่งฟ้อง โดยโจทก์อ้างคำสัมภาษณ์ของบุคคลจากรายงานข่าวว่ายังไม่มีการประชุมของคณะทำงานทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็เป็นข้อมูลจากสื่อมวลชน ไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการ และปรากฏจากเอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นคำแถลงข่าวของสำนักงานอัยการสูงสุดโดยจำเลยที่ 3 แถลงสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2558 คณะทำงานร่วมทั้งสองฝ่ายได้พิจารณาหลักฐานร่วมกันแล้ว แสดงว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 จะสั่งฟ้องได้มีการประชุมของคณะทำงานร่วม
ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีความเห็นส่งฟ้องโจทก์กะทันหัน ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะลงมติถอดถอนโจทก์ ในคดีที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาโจทก์เพียง 1 ชั่วโมงนั้นเห็นว่า ในข้อนี้ไม่มีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ว่าจะไปกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องการถอดถอนโจทก์ก็เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ส่งเรื่องไปที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 56 (1) ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้ผูกพันกับผลการไต่สวนข้อเท็จจริงในความผิดทางอาญา คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงมีลักษณะเป็นความเข้าใจของโจทก์เองว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานอัยการปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือมีเจตนากลั่นแกล้งฟ้องโจทก์ให้ต้องรับโทษแต่อย่างใด
ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า สำนวนในคดีทุจริตจำนำข้าวเป็นการเรียงฟ้องอันเป็นเท็จในสาระสำคัญที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังไม่ได้กล่าวหาและยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ ต่อศาลฎีกาฯ โดยได้บรรยายฟ้องชัดเจนว่า ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติว่าการกระทำของโจทก์มีมูลความผิด ซึ่งจำเลยที่ 1 บรรยายฟ้องตามข้อพิจารณาของ ป.ป.ช.ไม่ได้เป็นการบรรยายหรือเรียงฟ้องอันเป็นเท็จในสาระสำคัญในคดีของป.ป.ช.แต่อย่างใด สำหรับที่โจทก์อ้างว่าการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ พวกจำเลยได้ยื่นบัญชีระบุพยานนอกสำนวนการสอบสวนของป.ป.ช.ที่ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และไม่ได้ไต่สวนไว้ในคดีนั้นเห็นว่า แม้พ.ร.บ.ว่าด้วยการพิจาณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 5 ให้ศาลยึดรายงานของ ป.ป.ช.เป็นหลักในการพิจารณา แต่ก็ให้อำนาจศาลไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร โดยศาลมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลหรือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำและจำเลยมีสิทธิ์นำพยานเข้าไต่สวนเพื่อหักล้างพยานโจทก์ได้อย่างแล้ว การกระทำของจำเลยทั้ง 4 จึงชอบด้วยกฎหมาย ยังไม่อาจรับฟังด้วยว่าจำเลยทั้ง 4 กระทำผิดตามฟ้องให้ยกฟ้อง