‘กรธ.’จ่อผุดองค์กรใหม่
คุมประชานิยม
หวั่นการเมืองทำชาติเจ๊ง
ใช้เงินเท่าไหร่ต้องแจ้งสภาฯ
เปิดชื่อกุนซือช่วยงาน‘มีชัย’
เจษฎ์-สมคิด-กาญจนารัตน์
ทินพันธุ์พร้อมนั่งปธ.สปท.
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม กรธ.ว่า หลังคุยกับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทาบทามให้มาเป็นที่ปรึกษา กรธ.นั้น นายบวรศักดิ์ ขอถอนตัว แต่ได้เสนอ นายเจษฎ์โทณวณิก อดีต กมธ.ยกร่างฯให้มาช่วยงาน ร่วมกับอดีตเลขานุการ กมธ.ยกร่างฯปี50และปี58 คือ นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์และนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ รวม 3คน
เชิญทุกฝ่ายส่งความเห็นร่างรธน.
นอกจากนี้ กรธ.กำลังทำหนังสือส่งไปยังองค์กรตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี2557 อย่าง คณะรักาษความสงบแห่งชาติ(คสช.),คณะรัฐมนตรี(ครม.),สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)และสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปท.) รวมถึงพรรคการเมืองให้เสนอความคิดเห็นเข้ามา โดยคงไม่เชิญมาเป็นรายบุคคล เว้นแต่เฉพาะประเด็นที่ กรธ.ยังไม่ตกผลึกชัดเจน เช่น องค์กรอิสระต่างๆที่ต้องเชิญมา เพราะอยากทราบปัญหา อย่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ก็มีมานานแล้ว แต่เหตุใดการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงไม่ลดลง แต่ละคดีก็ใช้เวลา จึงอยากทราบปัญหาเพื่อจะได้ออกแบบกลไกให้เหมาะสม ซึ่งขณะนี้ยังนึกไม่ออกเหมือนว่า จะต้องมีองค์กรอะไรเพิ่มอีก
นำวิกฤตปี53มาคิดเป็นบทเรียน
นายมีชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของความเห็นจากพรรคการเมือง ขณะนี้คณะรับฟังความคิดเห็นได้เริ่มประมวลประเด็นเพื่อแยกแยะเพื่อนำมาพิจารณา รวมถึงส่วนที่พรรคการเมืองเคยส่งมาด้วย เพื่อเป็นการทุ่นเวลา ทั้งนี้หวังว่าพรรคการเมืองต่างๆจะส่งความเห็นเข้ามา โดยยืนยันว่า กรธ.จะพิจารณาทั้งหมด แม้จะมีความหลากหลาย แต่ กรธ.จะพิจารณาโดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งภายในเดือนมกราคม2559 คาดว่า ร่างแรกจะแล้วเสร็จเพื่อส่งให้ คสช.,ครม.,สนช.,สปท.และเปิดเผยสู่สาธารณะให้พิจารณา หากส่วนใดต้องแก้ไข กรธ.พร้อมรับฟัง ส่วนบทเรียนในปี2535 ที่ต่อต้านประเด็นที่มานายกฯจนเกิดวิกฤตนั้น ตอนนั้นตนยังสงสัยว่า ไม่เห็นดีเห็นงามในหลักการ หรือตัวบุคคลกันแน่ อย่างไรก็ตามอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ใช้เป็นเครื่องเตือนใจ ถ้าทำตรงไปตรงมาก็ไม่น่าจะเกิดเรื่อง ตนยังนึกไม่ออกเหมือนกันก็ขอให้ทุกคนช่วยกันคิด
ผุดองค์กรคุมเข้ม’ประชานิยม’
ด้าน นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) แถลงถึงการวางกรอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ตามาตรา35 (7) โดยมีสาระสำคัญคือ ที่ประชุมเพิ่มประเด็นการกำหนดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการปรับโครงสร้างและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกลไกการป้องกันการบริหารราชการแผ่นดินที่มุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง โดยมีรายละเอียดเบื้องต้น อาทิ ให้รัฐมีกลไกปรับโครงสร้างและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสามารถปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันอย่างเสรี เป็นธรรมและมีธรรมาภิบาล ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงความสมดุลด้านการผลิต การมีงานทำ การอยู่ดีมีสุขของประชาชนและการคงอยู่ของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ยึดวินัยการเงิน-หวั่นชาติเจ๊งยับ
ขณะที่กลไกการบริหารราชการแผ่นดินนั้น ที่ประชุมมีความเห็นว่า ต้องมีกลไกป้องกันการสร้างความนิยมทางการเมืองที่ก่อให้เกิดระบบเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนระยะยาว โดยเฉพาะต้องสร้างกลไกคุมพรรคการเมือง ให้ทำนโยบายที่อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง การคุมพรรคการเมืองเรื่องนโยบายนั้น ไม่ได้ห้ามทำนโยบายประชานิยม แต่เมื่อจะทำนโยบายใด ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการเงินการคลังของประเทศ หรือเศรษฐกิจโดยรวม ส่วนจะพิจารณาให้มีองค์กรใหม่มากำกับ หรือใช้องค์กรที่มีอยู่เดิม เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง) ทำหน้าที่นั้น ที่ประชุมยังไม่ตกผลึก” นายนรชิต กล่าว
ใช้งบเท่าไหร่ต้องรายงานสภา
นายนรชิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังวางกรอบให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของรัฐให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า โดยนำเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญที่ทำโดยอดีต กมธ.ยกร่างฯมาพิจารณาเทียบเคียง โดยเฉพาะมาตรา88 ว่าด้วยข้อกำหนดให้รัฐต้องดำเนินนโยบายการเงิน การคลังและงบประมาณภาครัฐและการใช้เงินอย่างคุ้มค่า จัดระบบภาษีอากรที่เป็นธรรม เกิดประโยชน์สูงสุด และให้มีกลไกตรวจสอบและเปิดเผยการใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพและมาตรา193 ว่าด้วยการใช้จ่าย การก่อหนี้และการก่อภาระทางการคลังที่มีผลผูกพันเงินแผ่นดินต้องเป็นไปเฉพาะที่มีพระราชบัญญัติว่าด้วยงบประมาณบัญญัติไว้และกำหนดให้ ครม.รายงานการใช้จ่ายเงินและการโอนเงินที่ใช้ในรายการอื่น ซึ่งจากการกำหนดไว้ในกฎหมายให้รัฐสภาทราบ 6เดือน มาพิจารณาและมีข้อเสนอให้รัฐมีหน่วยงานอิสระทำหน้าที่ประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ เบื้องต้นจะเพิ่มอำนาจดังกล่าวให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ตั้ง’อัชพร’ปธ.อนุก.ก.ยกร่าง
นายนรชิต กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังมีมติตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยมี นายอัชพร จารุจินดา กรธ. เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งการทำหน้าที่จะแยกออกจากการทำงานชุดใหญ่ ซึ่งข้อสรุปที่ได้จากอนุกรรมการต้องนำมาเสนอต่อกรธ.ก่อนร่างแรกจะแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม2559
‘เจษฐ์-สมคิด-กาญจนารัตน์’กุนซือ
นอกจากนี้ กรธ.ยังมีมติแต่งตั้งที่ปรึกษาประจำ กรธ.3คน ได้แก่ นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีต กมธ.ยกร่างฯเข้ามาช่วยงานแทน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขานุการร่างปี40 นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตเลขานุการร่างปี40และนางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ อดีตเลขานุการร่างปี58 โดยการทำงานของที่ปรึกษา กรธ.ยังไม่ได้กำหนดว่าจะทำหน้าที่เป็นครั้งคราวหรือตลอด 6เดือน โดยตำแหน่งที่ปรึกษาดังกล่าวมีหน้าที่เพียงให้คำปรึกษาแต่ไม่สามารถออกเสียงลงมติใดๆได้
เร่งศึกษาก่อนร่างที่มาสส.-สว.
นายประพันธ์ นัยโกวิท สมาชิก กรธ.ในฐานะประธานอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ เปิดเผยว่า อนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ ได้ประชุมนัดแรกแล้ว โดยที่ประชุมเลือกตนเป็นประธานอนุกรรมการและเลือก พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ เป็นรองประธานอนุกรรมการฯที่ประชุมยังวางแนวทางพิจารณาศึกษาระบบนิติบัญญัติที่ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เบื้องต้นจะให้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวทั้งที่เคยมีใช้ในประเทศไทยและในระบบของต่างประเทศ เช่น การเลือก สส.ที่เคยใช้ทั้งการเลือกตั้งคู่ขนานระหว่างสส.แบ่งเขตและสส.แบบบัญชีรายชื่อ รวมถึงการเลือก สส.ด้วยระบบสัดส่วนผสมตามที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่อดีต กมธ.ยกร่างฯไว้ มาพิจารณาในประเด็นต่างๆ ก่อนเสนอให้กับที่ประชุม กรธ.พิจารณา
สว.ดูแค่กม.มาจากแต่งตั้ง-สรรหา
ขณะที่ระบบวุฒิสภาจะยกประเด็นของอำนาจหน้าที่มาตั้งต้น หากให้อำนาจสว.เพียงแค่กลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น อาจให้ สว.มาจากการแต่งตั้ง หรือการสรรหา แต่หากให้อำนาจ สว.ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือสส.ด้วย จำเป็นต้องหาจุดเชื่อมโยงกับประชาชน เช่น มาจากการเลือกตั้ง หรือด้วยวิธีที่เชื่อมโยงกับประชาชน เป็นต้น การศึกษาประเด็นด้านนิติบัญญัติจะต้องนำไปเชื่อมโยงกับระบบที่มาของนายกฯด้วย เพราะถือเป็นจุดสำคัญของกระบวนการนิติบัญญัติเช่นกัน แต่จะใช้ระบบวิธีใดต้องรอให้อนุกรรมการศึกษาโครงสร้างด้านบริหารพิจารณาอีกครั้ง ส่วนระยะเวลาที่จะศึกษานั้น เบื้องต้นต้องทำให้รวดเร็วภายในเดือนตุลาคมนี้ หากเป็นไปได้
‘วิษณุ’หนุนกำจัดพวกทุจริต
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการร่างรัฐธรรมนูญตามกรอบของมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่ระบุเกี่ยวกับการทุจริตของนักการเมือง ว่า ให้เดินตามกรอบ 11ข้อที่กำหนดไว้ในมาตรา35 แต่ให้ กรธ.ไปคิดรายละเอียดเอง ถ้าดูให้ดีในกฎหมายเกี่ยวกับท้องถิ่นเข้าใจว่า ทุกฉบับ เช่น อบจ.อบต.เทศบาล หรือ กทม.เขียนไว้ว่า คนที่ถูกให้ออกเพราะทุจริตไม่สามารถกลับเข้ามาสมัครได้อีกตลอดชีวิต จึงเป็นการเปรียบเทียบระหว่างการเมืองระดับท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติว่า ถ้ามีการทุจริตคดโกงมีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้วเมื่อพ้นโทษจะให้เข้ามาเล่นการเมืองได้อีกหรือไม่ ซึ่งมาตรา35 ไม่ได้พูดถึง จึงเป็นหน้าที่ของกรธ.ต้องไปคิดว่า จะเขียนอย่างไร โดยยึดกรอบตามมาตรา35 อย่างเคร่งครัด
ตัดสิทธิ์ชั่วชีวิตต้องเขียนให้ชัด
อย่างไรก็ดี หากดูกฎหมายท้องถิ่น คนทุจริตยังหมดสิทธิ์ตลอดชีวิต แล้วนักการเมืองระดับชาติจะย้อนกลับมาได้อย่างไร แต่ต้องไปดูด้วยว่า การทุจริตนั้นถึงขั้นใด แค่ ปปช.ขี้มูล หรือเป็นคำตัดสินของศาล ซึ่งมาตรา35 ไม่ได้ระบุไว้ จึงขึ้นอยู่กับ กรธ.โดยหลักแล้วควรเขียนให้ชัดเจน แต่ไม่ควรมีผลย้อนหลัง เช่นเดียวกับร่างของ นายบวรศักดิ์ ที่ไม่มีผลย้อนหลังไปถึงกลุ่ม บ้านเลขที่111และ109 ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อหาทางออก หากทำประชามติไม่ผ่านนั้น ต้องหาจังหวะเวลาที่เหมาะสม ถ้าไม่เหมาะสมจะถูกกล่าวหาว่า เตรียมไว้กรณีที่ไม่ผ่าน
‘บิ๊กตู่’เบื่อวิจารณ์กรธ.เสียหาย
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รู้สึกอึดอัดกับการแสดงออกของนักการเมือง นักวิชาการและสื่อเลือกข้างบางกลุ่มที่ตั้งแง่และพยายามจับผิดการทำงานของ กรธ.จึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางที่ กรธ.จัดไว้ดีกว่าแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชน เพราะอาจทำให้สังคมสับสนว่า เรื่องใดเป็นข้อเท็จจริง เรื่องใดเป็นเพียงการตีความไปเอง
ย้ำรบ.ไม่ได้หวังสืบทอดอำนาจ
“นายกฯมองว่า พฤติกรรม รวมทั้งวาทะกรรม ไม่เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง หากพิจารณาข้อสังเกตที่นักการเมือง นักวิชาการและสื่อเลือกข้างข้างต้นพูดถึงก็จะเห็นว่า วนเวียนอยู่แค่เรื่อง อำนาจ ใครจะได้อำนาจ ใครจะสืบทอดอำนาจ ไม่ค่อยจะมีข้อความใดที่พูดถึงสิ่งที่จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ยืนยันว่านายกฯ ครม.และคสช.มีเจตนาที่จะทำให้ประเทศชาติปลอดภัย เพื่ออนาคตของลูกหลานไทย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย มีการเลือกตั้ง นายกฯและครม.ก็พร้อมออกจากทำเนียบและมอบภาระของชาติให้นักการเมืองต่อไป” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
‘สปท.’เข้ารายงานตัววันที่สี่
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการรายงานตัวสมาชิก สปท.วันที่สี่ เริ่มตั้งแต่เวลา 08.30น. โดยมี นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) นายศานิตย์ นาคสุขศรี อดีต สปช. นางเมธินี เทพมณี อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) นายฐาปบุตร ชมเสวี อดีตรองปลัดกระทรวงแรงงานและนายชัย ชิดชอบ ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย เข้ารายงานตัว
แสดงตัวแล้ว196เหลืออีก4
เวลา 16.30น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีสมาชิก สปท.เข้าแสดงตน 17คน ทำให้มีสมาชิกแสดงตนรวม 4วัน ทั้งสิ้น 196คน ส่วนอีก 4คนที่เหลือ ประกอบด้วย พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีต ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์, นายวัลลภ พริ้งพงษ์ อดีต สปช.,นางปัทมา เธียรวิศิษฎ์กุล ที่ปรึกษาสำนักงานประมาณและนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา จะเข้าแสดงตนในวันจันทร์ที่ 12ตุลาคมนี้ ซึ่งบางบุคคลติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ โดยจะมีการประชุม สปท.นัดแรกในวันที่ 13ตุลาคม เวลา 9.00น.เพื่อเลือกประธานและรองประธาน สปท.
‘ปู่ชัย’ลั่นพร้อมเป็น’ปธ.สปท.’
นายชัย ชิดชอบ สมาชิก สปท.และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการรายงานตัวเป็น สปท.ถึงการดำรงตำแหน่งประธาน สปท.ว่า การแต่งตั้งประธาน สปท. นั้นแล้วแต่นายกฯจะให้ตนหรือใครดำรงตำแหน่ง ถ้าให้ใครเป็นก็คนนั้น ซึ่งโดยหลักทั่วไปสมาชิกต้องเป็นคนเลือกประธานเอง โดยมักเลือกคนที่มีอายุมากสุดมาดำรงตำแหน่ง
ต้องสามัคคีจึงปรองดองได้
เมื่อถามถึงเรื่องสร้างความปรองดอง นายชัย กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความสามัคคีในชาติมาก่อน ปรองดองมีไม่ได้ ถ้าความสามัคคีไม่มี จะต้องสามัคคีตั้งแต่เกิดและต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะทุกคนมีทัศนะแตกต่างกัน จะทำอย่างไรให้ประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
‘ชิดชัย’มุ่งปฎิรูปการเกษตร
ด้าน พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.)ให้สัมภาษณ์หลังเข้ารายงานตัวเป็น สปท.ว่า ต้องการเข้ามาปฏิรูปเรื่องการเกษตร ส่วนการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจนั้น ตนเคยเป็นประธานปรับปรุงแก้ไขกฎหมายตำรวจปี2547 ซึ่งช่วงนั้นเป็นกฎหมายที่ดี แต่ผ่านมา 10กว่าปีแล้ว คงต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่ ทั้งนี้ ตนไม่ลำบากใจที่เข้ามาทำงานตรงนี้ แม้เคยทำงานเป็นอดีตรองนายกฯสมัย นายทักษิณ ชินวัตร เพราะมีจุดยืนยึดมั่นความเป็นกลาง ความถูกต้อง
ยันไม่ยุ่งเกี่ยว’ทักษิณ’นานแล้ว
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมามีการพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ หรือไม่ พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า ไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับพรรคมานานแล้ว ตลอด 3ปีที่ผ่านมา ตนหันมาทำธุรกิจส่วนตัว จึงหลีกเสี่ยงไม่ให้การเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ อีกทั้งตนไม่ได้มีพูดคุยกับ นายทักษิณ ส่วนเรื่องการปรองดองนั้น ตนไม่รู้ แต่การกระทำที่ผิดกฎหมายต้องแยกออกผิด ก็ต้องว่ากันไปตามผิด แต่กฎหมายก็ไม่ใช่ว่าจะเอาเป็นเอาตายกัน เพราะสามารถพูดคุยกันได้
‘ทินพันธุ์’พร้อมนั่งประธานสปท.
ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ สมาชิก สปท.กล่าวถึงกระแสข่าวนั่งประธาน สปท.ว่า ยังไม่มีความแน่นอน ขึ้นอยู่กับสมาชิก ถ้าสนับสนุนและให้เกียรติตนก็คงต้องทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งตนยังไม่ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรีและพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนต รีแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตนไม่ขอให้ข่าวและสัมภาษณ์ เนื่องจากเป็นคนเก็บตัวไม่ชอบเป็นข่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี