25 พ.ย. 58 เมื่อเวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่มีหนังสือเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากสมาชิกรัฐสภายุโรป (EU) ไปร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการเมืองไทยว่า ตนไม่ทราบว่าใครเป็นคนเชิญ แต่รู้ว่ามีจดหมายเชิญจริง ซึ่งมีปัญหาว่าผู้เชิญไม่ได้ระบุตำแหน่งมาด้วย ส่วนถ้าเป็นรัฐสภาไทยนั้น เมื่อรัฐสภาจะเชิญใคร ก็จะเป็นประธานรัฐสภา หรือเลขาธิการรัฐสภาเป็นผู้ลงนามในจดหมายเชิญ ในส่วนข้อท้วงติงเรื่องของภาษาที่ใช้ในจดหมายและการไม่ระบุตำแหน่งเชิญ ถือว่าผิดสังเกตหรือไม่ ตนไม่ขอก้าวก่าย อีกทั้งไม่ใช่หน้าที่ของ สนช. ในการพิจารณาอนุญาตใครไปนอกประเทศหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปบรรยายจริง คิดว่าจะส่งผลดีหรือเสียอย่างไร เพราะไปพูดเรื่องประเด็นการเมือง นายสุรชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับประเด็นที่พูด ว่ามีความสร้างสรรค์หรือสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศหรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะพูดเรื่องอะไร
นายสุรชัย กล่าวถึงข้อเสนอของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมว่า ตนเชื่อว่า กรธ. กำลังออกแบบสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้สำหรับสังคมไทย โดยประเด็นอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ระบบถ่วงดุลการตรวจสอบที่ถือว่าเป็นหลักของระบอบประชาธิปไตยทำงานได้อย่างแท้จริง ซึ่งต้องยอมรับว่าลำพังสภาผู้แทนราษฎรกับรัฐบาล ไม่สามารถถ่วงดุลตรวจสอบได้อย่างแท้จริง เนื่องจากเสียงข้างมากในสภาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทำให้เกิดคำถามที่ว่าการตรวจสอบนั้นจะทำได้มากน้อยแค่ไหน จึงจำเป็นต้องใช้ระบบ 2 สภา ให้มี ส.ว. มาตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง เพื่อรักษาระบบอำนาจถ่วงดุลได้ ดังนั้น ส.ว.จะมีที่มาอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องสร้างดุลอำนาจให้เหมาะสมได้
"ไม่ว่า ส.ว. จะมาจากการเลือกตั้ง สรรหา ทั้งสองอย่างผสมกัน หรือจะมีที่มาอย่างไร ก็ต้องตอบโจทย์หลักการถ่วงดุลอำนาจและตรวจสอบอำนาจรัฐได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะต้องไปดูรายละเอียดในเรื่องของกระบวนการได้มาของ ส.ว. จะตอบโจทย์นี้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็คงไม่ใช่คำตอบของการปฏิรูปประเทศไทย โดยเรื่องนี้จะเป็นประเด็นหนึ่งที่จะนำไปประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการรวบรวมความเห็นของ สนช. ก่อนที่จะสรุปความเป็นเพื่อส่งต่อไปยัง กรธ. ภายในเดือน ม.ค. 59" นายสุรชัย กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ กรธ. ระบุไม่ให้ ส.ว. มีอำนาจถอดถอนนั้น นายสุรชัย กล่าวว่า ในหลักการตนไม่เห็นด้วย แต่เชื่อว่าการที่กรธ. กำหนดเช่นนี้ เป็นเพราะดูผลงานที่ผ่านมาของ ส.ว. ซึ่งไม่สามารถถอดถอนใครได้เลย แต่เมื่อพิจารณาแล้ว การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นเป็นโทษทางการเมือง ไม่ใช่โทษทางแพ่งและโทษทางอาญา การที่จะให้ศาลตัดสินเรื่องนี้ คำถามที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ การทำเช่นนี้จะเป็นการดึงศาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ หลักการที่ถูกต้องคือต้องให้ฝ่ายการเมืองแก้ไขปัญหาการเมืองกันเอง โดยจะต้องนำหลักการนี้มาปฏิบัติให้ได้ แต่ที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่าปัญหานั้นเกิดขึ้นจากการสร้างดุลอำนาจที่ไม่เหมาะสมลงตัวระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เพราะเดินหน้าก็ลูบหน้าปะจมูก เจอคนรู้จักอยู่ในแวดวงเดียวกัน พรรคพวกเดียวกัน เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไปดูว่า เราแก้ที่สาเหตุแล้วหรือยัง คือทำอย่างไรให้ออกแบบดุลอำนาจที่เหมาะสมได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี