25 พ.ย.58 ที่รัฐสภา นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงข่าวถึงความคืบหน้าในการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดหลักการกรณีที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เห็นควรให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ทาง กรธ.เห็นว่าควรให้เป็นไปตามที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ต่อมา มีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับองค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในการนั่งพิจารณาและทำคำวินิจฉัย โดยยังคงหลักการเดิมว่า จะต้องมีตุลาการฯ ไม่น้อยกว่า 5 คน ในการดำเนินการดังกล่าว ส่วนกรณีที่หากมีผู้กล่าวหาตุลาการฯ มีความประพฤติที่ผิดกฎหมายหรือละเมิดจริยธรรมนั้น ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนอิสระ ที่ตั้งมาจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา แต่ถ้าเป็นข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตนั้น ก็จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีหน้าที่ไต่สวนก่อนส่งเรื่องไปให้ทางศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้พิจารณา
ส่วนองค์ประกอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น ทาง กรธ.ได้กำหนดให้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 9 คน ประกอบด้วย ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือก จำนวน 3 คน ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดคัดเลือก จำนวน 2 คน คณะกรรมการสรรหาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านสาขานิติศาสตร์ จำนวน 1 คน คณะกรรมการสรรหาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 1 คน คณะกรรมการสรรหาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเทียบเท่าระดับอธิบดี จำนวน 2 คน ส่วนคณะกรรมการสรรหานั้น เบื้องต้นเป็นไปตามหลักการเดิมของรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา อาทิ ตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ผู้แทนจากองค์กรอิสระ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้าน เป็นต้น
นายอุดม กล่าวต่อว่า ส่วนการพิจารณาภาพรวมในหมวดรัฐสภา ที่ประชุม กรธ.ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการยกร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญไปจัดทำร่างรัฐธรรมนูญโดยถือหลักการที่ กรธ.ได้พิจารณาไว้ เช่น จำนวน วิธีการเลือกตั้ง บทบาทหน้าที่ของสภาในการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ การประชุมสภา เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะยึดถือตามหลักการที่เคยอยู่ในรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ยกเว้นประเด็นประเด็นที่มีการปรับเปลี่ยน คือ ที่มาของ ส.ส.และที่มาของ ส.ว.สำหรับการคำนวณจำนวนที่นั่งของ ส.ส.เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสัดส่วนเกินกว่าที่นั่งอันพึงมี หรือโอเวอร์แฮงค์ (Overhang) ขณะนี้ กรธ.ได้วางหลักการอย่างลงตัวแล้ว คือ ใช้สูตรการคำนวณแบบเทียบบัญญัติไตรยางค์
สำหรับประเด็นที่มาของ ส.ว.ทาง กรธ.ได้มีการเสนอแนวทางว่า ส.ว.ควรจะปลอดจากการถูกครอบงำทางการเมือง ดังนั้น แนวคิดของ กรธ.จึงเสนอให้ที่มาของ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมจากกลุ่มสังคมต่างๆ จำนวนไม่เกิน 200 คน ซึ่งขณะนี้ทาง กรธ.อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าควรมีกลุ่มสังคมใดบ้างที่จะเสนอผู้สมควรเป็น ส.ว.ได้ โดยรูปแบบกลุ่มเดิมทีเราได้คิดว่ามีการจัดตั้งองค์กรนิติบุคคล ซึ่งง่ายต่อการเสนอ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่าการเป็นนิติบุคคลเท่านั้นอาจจะไม่ครอบคลุม เนื่องจากกลุ่มสังคม บางกลุ่มอาจไม่ได้มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือมีกฎหมายรับรอง ตรงจุดนี้ทาง กรธ.จึงได้มอบหมายให้อนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติไปพิจารณาว่า สมควรที่จะนำกลุ่มทางสังคมที่ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลสามารถเสนอชื่อหรือคัดเลือกผู้เหมาะสมเป็น ส.ว.ได้หรือไม่
"สิ่งที่เราคำนึงถึงคือทำอย่างไรที่จะได้กลุ่มสังคมที่ครอบคลุมบุคคลที่มีบทบาทในบ้านเมืองจริงๆ การครอบคลุมมันไม่อาจไม่ได้ระบุเพียงชื่อเท่านั้นแต่อาจหมายถึงกลุ่มสังคมเล็กๆอาจจับไปรวมเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ยกตัวอย่างกลุ่มเกษตรกรรม กลุ่มสิทธิสตรี กลุ่มสิ่งแวดล้อม กลุ่มแรงงานเป็นกลุ่มใหญ่มาก แต่กลุ่มโทรคมนาคม ถือว่าเป็นกลุ่มย่อยมาก ดังนั้นทางกรธ.จึงต้องมาคิดว่าจะให้กลุ่มนี้ไปรวมกับกลุ่มใด เพื่อให้สามารถมีบทบาทในการเลือกตั้งทางอ้อมได้ ทำให้ทุกกลุ่มคัดสรร เลือกกันเอง ว่าใครบ้างที่มีความเหมาะสม ซึ่งขณะนี้มีการเสนอประมาณ 20 กลุ่มได้" นายอุดม กล่าว
เมื่อถามว่า ช่องทางที่จะเข้าถึงศาลรัฐธรรมนูญประชาชนสามารถยื่นร้องได้โดยตรงหรือต้องผ่านกลไกใดหรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า เราคิดว่าแนวทางที่รัฐธรรมนูญพยายามให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน เราจะพยายามเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการเข้าถึงนั้นเราได้คำนึงว่าเมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมี 9 คน ดังนั้น อาจจะต้องไปเขียนใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะต้องมีวิธีการใดที่ทำให้ประชาชนดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
"เดิมศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อปัญหาเกิดขึ้นหรือมีความขัดแย้งแล้ว เช่น ความขัดแย้งทางอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐสภากับฝ่ายบริหารหรือฝ่ายบริหารกับองค์กรอิสระ แต่ต่อไปแม้จะไม่มีข้อขัดแย้งก็จะเปิดช่องให้องค์กรที่เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นสามารถยื่นหรือให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ไปตามกติกาได้ " นายอุดม กล่าว
เมื่อถามว่า การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อเกิดวิกฤติ นายอุดม กล่าวว่า ที่ประชุม กรธ.ยังไม่มีความเห็นเป็นที่ยุติ เดิมมาตรา 7 ที่ถูกเสนอให้ใช้เมื่อเกิดปัญหาหรือเกิดวิกฤติการเมือง แต่กลับเป็นปัญหาว่าใครเป็นผู้ตีความ เนื่องจากไม่ได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าจะให้ใครเป็นผู้วินิจฉัย ซึ่งทุกคนมองว่าควรเป็นศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะนำมาตรา 7 มาใส่หรือปรับถ้อยคำใหม่ ซึ่งมีการเสนอว่ากรณีที่ไม่ได้บัญญัติเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นลายลักษณ์อักษรก็ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญไปค้นหาว่าเจตนารมณ์เรื่องนี้ต้องดำเนินการไปอย่างไร แต่ก็มีคนเสนอว่าควรจะใช้คำว่าใช้จารีตประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็มีการแย้งว่าไม่ควรใช้คำนี้เพราะเหมือนเป็นการอ้างอิงสถาบันได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี