‘ประวิตร’ตั้งทีมนายพล
สอบราชภักดิ์
ส่ง‘บิ๊กช้าง’นั่งประธาน
ให้อำนาจเค้นข้อมูลทุกฝ่าย
นายกฯไฟเขียวสตง.ร่วมสาง
เพื่อไทย-ปชป.ประสานเสียง
จี้อุดมเดชรับผิดชอบไขก๊อก
ความคืบหน้าการตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินงานโครงการอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการให้พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ดำเนินการตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อคลายความข้องใจสงสัยของสังคม หลัง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ออกมาแถลงยืนยันผลการสอบสวนเบื้องต้นของกองทัพบกไม่พบการทุจริต ซึ่งขัดแย้งกับกระแสข่าวที่มีมาก่อนหน้านี้ที่มีนายทหารหลายคนถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นการเรียกหัวคิวในระหว่างดำเนินหลายขั้นตอน
“บิ๊กช้าง”นำ9อรหันต็สอบราชภักดิ์
โดย พล.ต.คงชีพ ตันตระวานิช โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนว่า พล.อ.ประวิตร ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 442/58 เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการก่อสร้างอุทธยานราชภักดิ์ เรียบร้อยแล้ว โดยมีทั้งหมด 9 นาย ประกอบด้วย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคง หรือ “บิ๊กช้าง” รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ส่วนคณะกรรมการประกอบด้วย พล.อ.วิสุทธิ์ นาเงิน พล.ร.อ.กฤษฎา เจริญพานิช พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ พล.ท.สุวโรจน์ ทิพย์มงคล พล.ต.กิตติศักดิ์ บุญสุข พล.ต.พนมเทพ เวสารัชชนันท์ เป็นกรรมการและเลขานุการ พ.อ.ธานินทร์ ทุนทุสวัสดิ์ และพ.อ.มานะ กิ่งเพชร เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ให้อำนาจเรียกสอบได้ทุกคน
พล.ต.คงชีพ กล่าวด้วยว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีหน้าที่ รวบรวมพยานหลักฐานเรียกเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากส่วนราชการ บุคคล ตลอดเรียกบุคคลให้มาให้ถ้อยคำ พร้อมดำเนินการสอบหาข้อเท็จจริงในการก่อสร้างตามโครงการอุทธยานราชภักดิ์ และสรุปสำนวนความเห็นแล้วส่งรายงานให้ รมว.กลาโหม
บิ๊กป้อมชี้มุ่งสอบตัวบุคคล
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร เปิดเผยว่า คณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่สืบสวนหาข้อเท็จจริง โดยจะขอดูข้อมูลต่อจากกองทัพบกที่ได้ดำเนินการสอบสวนมาก่อนหน้านี้ อยากให้เข้าใจว่า ประเด็นเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์นั้นเคลียร์หมดแล้ว แต่ในตอนนี้จะตรวจสอบในเเง่ตัวบุคคล ซึ่งกรรมการที่ตั้งขึ้นมาไม่ได้ตรวจสอบเพื่อลงโทษเพราะมีหน่วยงานภายนอกตรวจสอบอยู่แล้ว แต่หากพบว่าไม่ถูกต้อง ก็จะส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป
โบ้ยรอผลสรุป-ไม่พูดอีกแล้ว
เมื่อถามว่า จะต้องเรียก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ อดีต ผบ.ทบ. มาให้ข้อมูลเพื่อสร้างความกระจ่างด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบว่า ไม่รู้ต้องว่ากันไป ผู้สื่อข่าวจึงซักต่อว่า มีกรอบเวลาในการสืบสวนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบว่า ยังไม่ทราบต้องให้คณะกรรมการตรวจสอบกันก่อน อย่ารีบ ขอให้ใจเย็นๆ คิดว่าเรื่องนี้มันควรจะจบได้แล้ว และต่อไปจะไม่ตอบคำถามเรื่องนี้อีกจะตอบวันนี้วันสุดท้าย
รมว.ยุติธรรมชงศอตช.สอบ
ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้เรียกศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) มาพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาของโครงการอุทยานราชภักดิ์บ้างแล้ว เพราะศอตช.ก็มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ คือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) แต่ยังไม่ได้สั่งการอะไร เพียงแต่สอบถามว่าศอตช.ได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบในเรื่องใดบ้าง ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็รายงานตามปกติ ยังไม่มีอะไร
ยอมรับส่วนหนึ่งใช้“งบกลาง”
ส่วนกรณีที่ สตง. ออกมายืนยันว่ามีการใช้งบประมาณรัฐในการก่อสร้างโครงการด้วย ซึ่งขัดแย้งกับที่ ผบ.ทบ. อ้างว่างบประมาณทั้งหมดมาจากเงินบริจาคล้วนๆ นั้น พล.อ.ไพบูลย์ ยอมรับว่า มีการใช้งบกลางจำนวน 63.57 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่นำไปใช้ในการปรับปรุงพื้นที่ก่อนการก่อสร้าง ส่วนที่ ผบ.ทบ. พูดถึงนั้น ไม่แน่ใจว่าหมายถึงงบประมาณตั้งแต่เริ่มโครงการ หรือเฉพาะงบประมาณการก่อสร้างที่มีการนำเงินบริจาคมาใช้
ฉะการเมืองอย่าโยงกับคดี“112”
พล.อ.ไพบูลย์ ย้ำด้วยว่า อยากให้แยกแยะว่าประเด็นของคดีตามมาตรา 112 กับประเด็นการทุจริตเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งเรื่องการใช้เงินไม่ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องของหน่วยงาน แต่เรื่องของตัวบุคคลที่กระทำผิดตามมาตรา 112 ก็เป็นความผิดของคนที่ไปใช้ แต่บังเอิญมันเป็นที่มีอุทยานราชภักดิ์ไปเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น
“มีกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งเอาเรื่องนี้และก็ไปพันกัน รัฐบาลนี้พยายามทำเรื่องการทุจริตให้หมดไป แต่ผมพูดเสมอว่า ไม่สามารถหมดไปได้เร็วภายใน 1-2 ปีนี้หรอก การทุจริตมันก็มีอยู่ทุกกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งก็ไม่มีใครนำไปเขียน แต่เรื่องนี้มันไปผูกพันกับ คสช. ผูกพันกับทหาร และผูกพันคนในรัฐบาล พวกท่านก็นำไปเขียนกัน ซึ่งมันได้สร้างความถูกต้องของระบบการตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งผมมองว่าไม่ได้สร้างความถูกต้องในเรื่องนี้” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว และว่าฝ่ายการเมืองที่ไม่ชอบเท่านั้นที่หยิบเรื่องนี้มาทำให้มันเป็นเรื่องพิเศษ เพราะถ้าท่านทำเรื่องนี้ ก็ต้องทำเรื่องอื่นให้ดุเดือดเหมือนเรื่องนี้ด้วย
ปปช.ขอรอผลสอบสตง.
ด้าน นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. เปิดเผยถึงกรณีที่ สตง. ยืนยันงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณรัฐว่า เรื่องนี้ยังต้องรอสตง.ตรวจสอบต่อไปอีกว่า เมื่อมีการเบิกเงินจากงบกลางมาแล้ว ผู้เกี่ยวข้องได้นำเงินดังกล่าวไปใช้อย่างถูกต้องโปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้องหรือมีการทุจริต สตง.ต้องส่งเรื่องมาให้ป.ป.ช.ดำเนินการ ทั้งนี้ไม่เฉพาะสตง.เท่านั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่มีข้อมูลเรื่องนี้ที่เห็นว่าการดำเนินการอาจส่อทุจริต ก็สามารถร้องเรียนมายังป.ป.ช.ได้เช่นเดียวกัน
เพื่อไทยจี้“อุดมเดช”ไขก็อก
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ลาออกจากตำแหน่ง รมช.กลาโหม เพื่อความสง่างามของกองทัพบก และแสดงความรับผิดชอบกรณีที่เกิดขึ้นกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว ยังพยายามเชื่อมโยงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่ารับรู้เรื่องโครงการดังกล่าวมาตลอด และมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้าง ถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต. ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกฯ รับผิดชอบกับกรณีดังกล่าวด้วย
ปชป.แนะ“บิ๊กโด่ง”โชว์สปิริต
นอกจากนี้ยังมี นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ออกมาแสดงความเห็นโดยเรียกร้องให้ พล.อ.อุดมเดช เสียสละ ลาออกจากตำแหน่ง รมช.กลาโหม เพื่อรักษาภาพลักษณ์รัฐบาล และเชื่อว่าประชาชนยังสนับสนุน รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ให้เดินตามโรดแม็พต่อไป
“บิ๊กตู่”โต้แถลงการณ์เพื่อไทย
เย็นวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์เรียกร้องพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ลาออกจาก รมช.กลาโหม เพื่อรับผิดชอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า โครงการนี้มีประโยชน์ต่อแผ่นดิน มีเจตนาดี แต่มีส่วนหนึ่งเอาไปหาประโยชน์ อย่าไปตกเป็นเครื่องมือเขา ซึ่งตนก็มีลงโทษ ทั้งทางวินัย ถอดยศ ยึดเครื่องราชย์ ส่วนทางอาญาก็ออกหมายจับ ทำตามกระบวนการทุกอย่าง กฎหมายก็เป็นแบบนี้ ไม่ใช่จะเลวไปทั้งหมด
ตอกเคยรับผิดชอบจำนำข้าวไหม
เมื่อถามว่า ส่วนที่สตง.ตรวจสอบว่ามีการเบิกจ่ายงบฯกลางไปใช้ในโครงการ นายกฯ กล่าวว่า เป็นงบกลางในส่วนกลาโหมที่ขอมา เป็นโครงการของกองทัพบก ส่วนเขาจะไปใช้อะไรไปดูตรงนั้น ถ้ามีการตรวจสอบการใช้งบฯตรวจบัญชีแล้วมันตรง มันก็โอเค แต่ไอ้ที่โกงกันไปก็ต้องไปหากันต่อ จะทำยังไงกับ 2-3 คนที่มันหนีๆพูดกันอยู่ ไปหามาซิ มันก็คือส่วนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อถามว่า มีการเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ นายกฯ ย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดันว่า “รับผิดชอบเรื่องอะไร ไหนตอบมาซิ ปัดโธ่ และรัฐบาลนั้นรับผิดชอบไหมโครงการจับนำข้าว ก็ถามกันแบบนี้ เขามีหน่วยงานไม่รู้เท่าไร มีรองนายกฯ รัฐมนตรี อธิบดี ผอ.หน่วยงาน ก็ไปไล่สอบมา รัฐบาลต้องรับผิดชอบในทางนโยบาย ซึ่งก็ได้ให้ไปแล้ว และผมให้ก็ด้วยความสุจริต ผมไม่ได้ทำผิดอะไร ผมให้ถูกตามระเบียบถูกตามงบประมาณหรือเปล่า ถ้าผมให้ถูกระเบียบต้องรับผิดชอบอะไร คนรับผิดชอบคือคนที่เบิกผมไป ซึ่งเขาก็ตรวจแล้วให้ไปไล่ดู อย่ามาโยงกันแบบนี้ มันคนละเรื่อง”
พล.อ.ประยุทธ ย้ำด้วยว่า โครงการจำนำข้าวใครรับผิดชอบบ้างถามซิ นายกฯเหรอ มันไม่ใช่ ต้องคณะกรรมการนโยบายจำนำข้าวที่ต้องรับผิดชอบ แต่ใครล่ะที่เป็นประธาน ที่เขาต้องเรียกค่าละเมิดในฐานะเขาเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว กำกับดูแลไปซิ ถ้านายกฯรับทั้งหมดมันใช่ แต่รับผิดชอบในเชิงนโยบาย ถ้ามันทำไปตามนโยบายที่ชอบทำถูกต้อง หรือจะมาบอกเป็นนโยบายของพรรค มันก็ไม่ใช่ แต่นี่เป็นโยบายรัฐบาลที่เจตนาโดยสุจริต เพราะฉะนั้นอย่าเอาไปพันกัน
ไฟเขียวสตง.ร่วมตรวจสอบ
เมื่อถามว่าถ้าสตง.เข้ามาตรวจสอบ จะมีปัญหาหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่เคยห้าม ก็ตรวจสอบของเขาไปตามระบบราชการ เจอคนผิดก็ลงโทษทางวินัย ไล่ออก ปลดออก ถ้าเป็นคดีอาญาก็ดำเนินการตามปกติว่ากันไป ไม่ว่าจะโครงการอะไร มูลค่าเท่าไรใช้กฎหมายเดียวกัน นี้คือความเท่าเทียมของกฎหมาย
ไม่ใช่ว่าตนเป็นคสช.แล้วจะมาปกป้องทหาร เขามีความเข้มแข็งของเขาอยู่แล้ว มันคือคนส่วนน้อย ซึ่งผมสัมฤทธิ์มันก็ปรากฎอยู่ ถ้าเป็นการอ้างสถาบันหาผลประโยชน์รับไม่ได้ ท่านทรงพระเมตตาทุกคนอยู่แล้ว แต่ก็มาชอบทำกันแบบนี้ทำกฎหมายเสียหาย ทำให้สถาบันเสียหายไม่ได้
แบะท่าไม่ให้ราคาเพื่อไทย
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แต่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ นายกฯกล่าวขึ้นทันทีที่ยังถามคำถามไม่จบว่า “พรรคอะไรไม่รู้ ผมไม่สนใจ”จากนั้น ย้อนถามผู้สื่อข่าว “พรรคอะไรนะ” เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่าพรรคเพื่อไทย นายกฯกล่าวตอบอย่างเสียงดัง “ผมไม่รู้จัก ไม่สนใจ ท่านต้องฟังผม ไม่ใช่เอาคำถามที่เขาพูดมาแล้วมาถาม ไปถามคนพูดว่าพูดมาทำไม ไปต่อสู้ให้ตนบ้าง นายกฯทำแบบนี้ ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ไปแก้เรื่องตนกับเขา ไม่ใช่เอาสิ่ิงที่เขาพูดมาโจมตีตน แล้วเอาตนไปโจมตีเขา สนุกกันนักหรือไง ไม่เข้าใจ พูดกันกี่ทีแล้ว ผมไม่สนใจ ก็เลือกตั้งเข้ามาแล้วกัน เลือกเขาใช่ไหม ก็เลือกมาซิ”
คนใกล้ชิดทำผิดไม่ต้องออก
เมื่อถามว่า คนที่ถูกออกหมายจับเป็นคนใกล้ชิด พล.อ.อุดมเดช นายกฯกล่าวว่า “ต้องแยกออกจากกัน คนใกล้ชิดทำผิดใช่ไหม ถ้าไม่งั้นต่อไปคนใกล้ชิดทำผิดก็ต้องลาออกไปให้หมด คนในกระทรวง ลูกน้องทำผิด แล้วต้องลาออกอย่างนั้นเหรอ เขามีกฎหมายอยู่ จะมาบอกเป็นความรับผิดชอบทางการเมืองเหรอ ก็เอาไปคิดกัน จะผิดจะถูกเขาคิดกันอยู่ มีวิจารณญาณของเขาเอง คนที่เคยอยู่การเมืองแล้วไม่รับผิดชอบ ทำไมไม่ไล่เขา เคยถามเขาแบบนี้หรือเปล่า พอถามแล้วตอบว่าไง ไปแล้วคะ”
สั่งล่าผู้ต้องหาคดีม.112
พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ติดต่อเข้ามอบตัวแต่อย่างใด ภายหลังศาลทหาร ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม แต่ได้สั่งการให้ส่งชุดติดตามตัวทุกคน ทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจาก มีข้อมูลว่า ผู้ต้องหาบางส่วนหลบหนีไปต่างประเทศแล้ว และเชื่อมั่นว่า จะสามารถติดตัวกลับมาดำเนินคดีได้
สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกการออกหมายจับล่าสุด ที่มีทั้งทหาร-ตำรวจ อาทิ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์, พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร อดีตผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม
ด้าน พ.ต.อ.ชยุต มารยาตร์ หนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ระบุว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการขอศาลออกหมายจับบุคคลใดเพิ่มเติม ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี