30 พ.ย. 58 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.3597/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา หรือคุณหญิงเป็ด อายุ 69 ปี อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายคัมภีร์ สมใจ อายุ 69 ปี อดีต ผอ.สำนักงานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าทีโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83
ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 57 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-31 ต.ค. 46 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสมรู้ร่วมคิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และทุจริตด้วยการให้ นายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการ และคณะอนุกรรมการดำเนินการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2546 ตามคำสั่งของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่ 102/46 ลงวันที่ 1 ส.ค. 46 เสนอเรื่องต่อ คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติโครงการสัมมนา เรื่อง “ สตง.ในความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา ” วันที่ 31 ต.ค. 46 ที่โรงแรมซิตี้ ปาร์ค อ.เมือง จ.น่าน ทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีว่า วันดังกล่าว สตง.มีการจัดถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพญาภู และวัดพระธาตุช้างดำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน แต่จำเลยทั้งสองกลับจัดสัมมนาในช่วงวันดังกล่าว และให้บุคคลที่จะถวายผ้าพระกฐิน รวมทั้งวางแผนนำรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง. ที่เข้าร่วมถวายผ้าพระกฐินมีรายชื่อเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนารวมอยู่ด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายการเดินทาง และค่าที่พัก ในการถวายผ้าพระกฐิน อันเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ในส่วนของการจัดสัมมนา ก็ไม่มีการจัดสัมมนาอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำพรางนำเงินงบประมาณจำนวน 294,440 บาท มาเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
ต่อมาปี 2547 นายพีรไสว รัตนเอกวาปี รองผู้ว่าฯ น่าน ได้มีหนังสือกล่าวโทษจำเลยทั้งสอง ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งทำการไต่สวน และแจ้งข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความพยานจากการไต่สวนแล้วเห็นว่า คำให้การของรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เกี่ยวกับความหมายของการสัมมนา ตามระเบียบ ข้อบังคับของกระทรวงการคลังในการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการ ระบุไว้ว่า การสัมมนา ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ วัน-เวลา สถานที่แน่นอน , บุคลากรที่เข้าร่วม และ ต้องเป็นการระดมความเห็น หรือการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเพิ่มประสิทธิในการพัฒนางาน แต่จากการคำให้การของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ สตง. หลายปากในชั้นอนุฯ ไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่เข้าร่วมสัมมนาให้การ สอดคล้องกันรับฟังได้ว่า ในช่วงของการสัมมนา ไม่ได้จัดที่โรงแรมซิตี้ปาร์ค และไม่มีหัวข้อการสัมมนา รวมทั้งไม่มีการแจกเอกสารประกอบการสัมมนา ขณะที่การมาบรรยายของ ส.ว.น่าน ขณะนั้นไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามหัวข้อที่จัดไว้ ซึ่งโต๊ะที่จัดไว้ก็เป็นโต๊ะกลมเก้าอี้หันหน้าเข้าหากันมีลักษณะคล้ายโต๊ะจีน มีการรับประทานอาหารส่งเสียงดัง ไม่อาจจับใจความที่มีการบรรยายได้
นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังพบว่า ก่อนถึงวันจัดสัมมนาในวันที่ 31 ต.ค.46 ได้มีการเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนาไปเป็นที่ สโมสรสันติภาพ 2 ที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับผู้บริหาร ชั้นล่างสำหรับผู้ร่วมสัมมนา โดยมีเพียงป้ายข้อความต้อนรับจำเลยที่ 1 แต่ไม่มีข้อความระบุหัวข้อหลักสูตร ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่โรงแรมซิติปาร์ค ที่ยืนยันว่า ก่อนถึงวันสัมมนา 3 วัน มีเจ้าหน้าที่ สตง. ได้โทรศัพท์มายกเลิกกี่จัดงาน ขณะนั้นโรงแรมยังไม่ได้จัดเตรียมเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม จึงได้คิดค่าใช้จ่ายเฉพาะป้ายที่ทำไว้แล้ว 300 บาท ขณะที่เดือน พ.ย.46 ก็พบว่าจำเลยที่ 2 ได้มีการเสนอโครงการสัมมนาลักษณะเดียวกันกับที่จัดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค.46 จึงเชื่อได้ว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาจัดสัมมนาตั้งแต่แรก แต่เกิดจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จำเลยทั้งสองกลัวว่า จะมีผู้เข้าร่วมน้อย จึงได้จัดสัมมนาวันเดียวกัน ส่วนการที่ ส.ว.น่าน มาร่วมงานสัมมนาก็เป็นการบรรยายพิเศษเพียงคนเดียว ไม่ใช่การระดมความเห็นตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ซึ่งหากจะเป็นการบรรยายลักษณะดังกล่าว ก็ไม่จำต้องนำคนจำนวนมากเดินทางมา และเวลาการสัมมนา ยังคลาดเคลื่อนจากที่ระบุไว้กำหนดการจากเวลา 08.30 – 16.30 น. เป็นช่วงเวลา 15.45 – 19.00 น. ส่วนที่จำเลย ต่อสู้ว่า การเปลี่ยนสถานที่เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า ซึ่ง ส.ว.น่าน เดินทางมาร่วมถวายกฐินล่าช้า และมีการแจกทุนการศึกษา โดยสถานที่ที่จัดเป็นความมีน้ำใจของ ส.ว.น่าน ช่วยจัดหา
ศาลเห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงสถานที่นั้น มีการแจ้งยกเลิกกับทางโรงแรมล่วงหน้าก่อนแล้ว 3 วัน และตามขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และสถานที่การจัดสัมมนาก็จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจ ดังนั้นจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสอง ย่อมเล็งเห็นตั้งแต่ต้นว่า ไม่สามารถจัดงานถวายผ้ากฐิน ในวัน-เวลาเดียวกันได้ และจากคำให้การพยานบางปาก ทราบว่าผู้ร่วมสัมมนาได้มีการจัดเตรียมชุดขาวไปร่วมงานถวายผ้ากฐินด้วย จึงเห็นได้ว่า การจัดสัมมนานั้นเป็นเท็จ เพราะมีวัตถุประสงค์ให้เดินทางไปร่วมงานถวายผ้ากฐินเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่ร่วมงานกฐินบางส่วนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ได้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วม เพราะมีชื่อเป็นผู้ร่วมงานสัมมนาด้วย ทั้งที่ไม่มีสิทธิเบิกจ่ายแต่ต้น ทำให้ สตง.เสียหายเป็นเงิน 294,440 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จึงพิพากษาให้จำคุก คุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ จำเลยทั้งสอง คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ภายหลัง คุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่าง ศาลพิจารณาแล้วให้ทั้งสองมีประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์คดีคนละ 2 แสนบาท
ต่อมา คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าที่มีการมาร้องตนในคดีนี้ เพราะมีใครบางคนถูก สตง.เข้าไปตรวจสอบจึงเป็นที่มาการร้องคดีนี้ เรื่องนี้ตนยังไม่อยากพูดมากในตอนนี้ ที่ผ่านมาตนหาเงินให้ประเทศนับแสนล้านบาท คิดว่าเงินแค่ 2 แสนกว่าบาทตนจะโกงหรือไม่ ส่วนจะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีประเด็นไหนนั้นขอปรึกษาทางทนายความก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี