ส.ดำเนินสะดวก
กรณีร.ต.อ.ทวี หมื่นรักษ์ พนักงานสอบสวนสน.ทุ่งสองห้อง ยิงตัวตายในที่พัก สาเหตุเชื่อว่าเครียดจากคดีจับกุมผู้ต้องหาประกอบธุรกิจรับจำนำรถโดยไม่ได้รับอนุญาต ยึดรถของกลาง 204 คัน มูลค่าราว 60 ล้านบาท ได้จากลานจอดรถห้างฯไอทีสแควร์ หลักสี่ โดยร.ต.อ.ทวีรับผิดชอบสำนวนคดี ทีมพนักงานสอบสวนถูกบริษัทไฟแนนซ์ กดดันให้คืนรถของกลาง และยังถูกเจ้าของรถฟ้องร้อง
หลังการยิงตัวตาย มีกระแสข่าวว่า สาเหตุเกิดจากถูกผู้บังคับบัญชาคือ พ.ต.อ.เติมเผ่า สิริภูบาล ผู้กำกับสน.ทุ่งสองห้อง พูดตำหนิอย่างรุนแรง อีกทั้งสั่งผู้ตายคืนรถของกลางให้เจ้าของ การตายของ ร.ต.อ.ทวี ได้มีประธานคณะกรรมการตำรวจสน.ทุ่งสองห้องกับอัยการท่านหนึ่งออกมาล่าชื่อชาวบ้านให้ย้าย พ.ต.อ.เติมเผ่า ส่วนตำรวจ สน.ทุ่งสองห้องจำนวนหนึ่งก็รวบรวมรายชื่อขอเปลี่ยนตัวผู้กำกับ ที่น่าสนใจคือ ฝ่ายที่เคลื่อนไหวนี้บางคนมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นหุ้นส่วนเต็นท์รถผู้รับจำนำรถ และตามข่าวรถ 204 คันนั้น มีไม่น้อยกว่า 180 คันขาดส่งไฟแนนซ์
สรุปประเด็นสำคัญคดีนี้ ผู้มีส่วนได้-เสียคือ 1.บริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถ 2.ผู้รับจำนำรถที่อยู่ระหว่างผ่อนส่งกับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ 3.ผู้เช่าซื้อรถซึ่งผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเสร็จสิ้นแล้วแต่ยังไม่ได้โอนทะเบียนรถเป็นชื่อของตนเอง และ 4.ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวแทนผู้ตายให้ย้ายผู้กำกับ มีหุ้นอยู่กับผู้รับจำนำรถ ข้อที่น่าสับสนคือ ตามข่าวรถ 204 คันนั้น มี 180 คัน ที่ผู้เช่าซื้อยังผ่อนชำระกับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อหรือบางส่วนยังค้างชำระและไม่ผ่อนชำระ ฉะนั้น 180 คันนี้ จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ อีก 24 คัน ชำระค่าเช่าซื้อเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนทะเบียน ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่าซื้อ
ฉะนั้นที่เจ้าของเต็นท์รถซึ่งมีอยู่อย่างน้อย 2 เต็นท์ มูลค่ารับจำนำไว้ 60 ล้าน ย่อมรู้สึกสูญเสียเงินที่ลงทุนไป แต่ในข้อกฎหมายเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่า การรับจำนำรถทั้งหมด ไม่ได้จดทะเบียนขอใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับจำนำ เจ้าของเต็นท์รถก็ไม่สามารถกระทำได้ ส่วนผู้ที่เคลื่อนไหวซึ่งมีทั้งประธานกก.ตร.และอัยการ หากคนใดคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คน ไปมีหุ้นอยู่ในการรับจำนำรถดังกล่าว ก็ย่อมไม่ชอบที่จะทำได้
ในส่วนบริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถซึ่งตามข่าวว่า มีรถ 180 คัน ยังอยู่ระหว่างผ่อนชำระ อีกส่วนหนึ่งขาดผ่อนค่างวด บริษัทผู้ให้เช่าซื้อเห็นว่า สามารถยึดรถคืนได้ตามกฎหมาย ย่อมใช้สิทธิโดยสุจริต ติดตามเอาคืน ไม่ว่ารถจะอยู่ในความครอบครองของผู้ใด ใครยึดถือไว้โดยไม่ชอบกฎหมาย หากไม่ยอมส่งคืน บริษัทผู้ให้เช่าซื้อย่อมดำเนินคดีได้ทั้งทางแพ่งและอาญา
ในทางปฏิบัติเมื่อผู้เช่าซื้อค้างชำระค่างวด ผู้ให้เช่าซื้อในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมออกติดตามรถของตนกลับคืนมาขายทอดตลาด ได้เงินไม่พอก็จะฟ้องผู้เช่าซื้อให้ชำระเงินส่วนที่ขาด การฟ้องต้องแยกฟ้อง 180 สำนวนคดี ถ้าจำเลยแต่ละคนมีภูมิลำเนาอยู่ในท้องที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ผู้ให้เช่าซื้อต้องเสียค่าใช้จ่ายทางศาลเป็นเงินหลายล้านบาท ทางแก้ไขเขาก็ต้องหาทางวิ่งเต้นใช้สิทธิ์ขอคืนรถยนต์ที่ทราบแน่ชัดว่า อยู่ในความครอบครองของพนักงานสอบสวนสน.ทุ่งสองห้อง
ขณะเดียวกันเจ้าของเต็นท์รถซึ่งหากปรากฏข้อเท็จจริงตามข่าว จะมีสิทธิ์ทวงรถคืนได้เฉพาะรถที่ส่งค่างวดครบเท่านั้น ส่วนอีก 180 คัน แม้ลงทุนรับจำนำไปเป็นเงินไม่ใช่น้อย ย่อมเสียดายเป็นธรรมดา ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ พ.ต.อ.เติมเผ่า สิริภูบาล ถูกกระแสข่าวทับถมจนประชาชนหลงทาง ฟังว่า เขาเป็นผู้ผิดที่ไปสั่งให้พนักงานสอบสวนคืนรถให้กับเจ้าของซึ่งน่าจะไม่ใช่ฝ่ายเจ้าของเต็นท์รถที่ออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้ย้ายพ.ต.อ.เติมเผ่า แต่เจ้าของรถในที่นี้คงหมายถึง ผู้มีกรรมสิทธิ์แท้จริงคือ ผู้เช่าซื้อรถ 24 คันที่ชำระค่างวดเรียบร้อยแล้ว และทำการจำนำไว้ ตำรวจก็ควรคืนให้ผู้มีสิทธิ์โดยชอบ เช่น ผู้เช่าซื้อหรือเต็นท์ผู้รับจำนำรถ ส่วน 180 คันไม่สามารถคืนให้เต็นท์รถอย่างแน่นอน
ในการทำหน้าที่ของตำรวจ โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนคดีนี้ ต้องดำเนินการอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม หากผิดพลาด ย่อมเป็นสิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้ตายได้รับความกดดัน ถ้าพ.ต.อ.เติมเผ่า กดดันให้ผู้ตายทำผิดกฎหมาย ก็ย่อมไม่ชอบที่จะทำได้ แต่ถ้าเป็นการกดดันให้ผู้ตายทำให้ถูกกฎหมาย ก็ชอบที่จะทำ มิเช่นนั้นตนอาจถูกฟ้องเพราะปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ในส่วนผู้ออกมาเคลื่อนไหวให้ย้ายพ.ต.อ.เติมเผ่า โดยอ้างว่ามีคลิปเสียงที่พ.ต.อ.เติมเผ่าพูดกดดันผู้ตายอย่างรุนแรงนั้น ต้องพิจารณาให้ได้ความจริงว่า ผู้เคลื่อนไหวมีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้อย่างไร ใครเป็นผู้ถือหุ้นกับเต็นท์รถที่รับจำนำไว้
ยอมรับว่า ผมอ่านข่าวแล้วค่อนข้างสับสนคดี จึงเหมาะสมอย่างที่ “ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” กล่าว ให้รอผลสอบข้อเท็จจริงออกมาก่อน สังคมจะได้เข้าใจเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี