คสช.วอนประชาชน
อย่าหลงเชื่อ
พวกบิดเบือน/คว่ำรธน.
ต้องศึกษาร่างให้ละเอียด
นปช.เปิดศึกเขย่ารายวัน
เย้ยปฏิรูป/สกัดโกงเหลว
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)กล่าวตอบโต้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)กล่าวถึงที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน(นรด.)จะสนับสนุนให้นักศึกษาวิชาทหาร(นศท.)เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์เพื่อให้ประชาชนทำความเข้าใจและออกมาใช้สิทธิ์ว่าอาจทำไม่ได้เพราะเป็นการชี้นำนั้นว่า ไม่อยากให้มองติดภาพของการเมืองอย่างเดียวเพราะเรื่องการออกมาใช้สิทธิ เป็นธรรมเนียมหลักของประชาธิปไตย ส่วนจะเลือกอะไร ก็คงเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคลอยู่แล้วดังนั้น การร่วมรณรงค์จึงน่าเป็นเรื่องปกติตามครรลองของประชาธิปไตย ที่คนในสังคมทุกคนสามารถมีส่วนร่วม ไม่ใด้เป็นการชี้นำให้เลือกแต่อย่างใด
ซัดกลุ่มจ้องบิดเบือนมีธงคว่ำร่าง
โฆษก คสช.กล่าวอีกว่า รัฐบาลและคสช.ไม่ได้เร่งให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติ หรือบังคับให้ใครประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญ อย่างที่บางคนเข้าใจ สำหรับร่างรัฐธรรมนูญ.หลายๆคนมองว่า เป็นเหมือนเรื่องกฏหมายกึ่งวิชาการ ถ้าไม่ตั้งใจ หรือมีสมาธิพอ อาจทำให้รับรู้ได้ไม่เต็มที่ หรืออาจเข้าใจได้ไม่ครบถ้วน ขนาดว่าบางคนได้ศึกษาบ้างแล้ว แต่เห็นยังมีเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ก็มี ทางผู้เกี่ยวข้องจึงอยากเน้นให้ทุกคนได้มีโอกาสศึกษาก่อน
“เพราะที่ผ่านมาเริ่ม พบว่ามีบางคนบางกลุ่มมีความพยายามบิดเบือนในเนื้อหา หาจุดอ่อนมาติแบบหลวม ๆ หวังสร้างปั่นกระแสในทางการเมือง เท่าที่ติดตามข้อมูลมา มีกลุ่มผู้เสนอความเห็นบางกลุ่มที่เจตนาไม่ชัด เหมือนตั้งธง จะคว่ำลูกเดียว กับบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเจตนา อยากปรับแก้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปจริงๆ”
วอนปชช.อย่าหลงเชื่อ/ศึกษาให้ดี
พ.อ.วินธัย ยังกล่าวว่าที่มีการใช้คำว่าเป็น ประชามติลวงโลก อาจเป็นหนึ่งในวาทะกรรมของกลุ่มที่มี ตั้งธงไว้ในใจอยู่แล้ว เชื่อสังคมคงรู้เท่าทัน การเสนอความเห็น เพื่อก่อให้เกิดพัฒนาการ สามารถทำได้มีหลายความเห็นได้เจาะเป็นประเด็นๆไป ไม่ใช่เหมารวมมาลอยๆโดยไม่มีรายละเอียด และคำอธิบายที่เป็นสากลเพียงพอ ขณะนี้เชื่อว่า มีหลายคนอาจยังไม่ได้ศึกษาจึงอยากเชิญชวนให้ศึกษาโดยละเอียดจะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือปลุกปั่นให้ใคร และขอยืนยันว่า คสช.ไม่ได้มองความเห็นต่างเป็นภัยคุกคามแต่เป็นเรื่องของเจตนาในการแสดงออก เพราะต้องไม่ทำให้สังคมสับสน เหมือนพยายามเอาเรื่องของ รัฐธรรมนูญมาผสมเคลื่อนไหวเพื่อมุมทางการเมืองด้วย
กรธ.จ่อแก้ปมสิทธิเสรีภาพเทียบปี50
ขณะที่ นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)กล่าวถึง เสียงสะท้อนร่างแรกรัฐธรรมนูญ ว่า ประชาชน กลุ่มเอ็นจีโอ ตลอดจนภาคประชาสังคม ค่อนข้างห่วงประเด็นสิทธิเสรีภาพมากที่สุด คาดว่าภายหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ทาง กรธ.คงจะทบทวนเนื้อในหมวดสิทธิเสรีภาพและมาตราที่เกี่ยวข้องเยอะที่สุด พร้อมจะนำเอาเนื้อหาจาก รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ที่ถูกเปรียบเทียบมาประกอบการพิจารณา และขอยืนยันว่า กรธ.ก็เป็นประชาชนทั่วไป ไม่ใช่ขุนนาง ที่มาเขียนเนื้อหาลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน
ย้ำพร้อมรับฟัง พิจารณาปรับแก้
ทั้งนี้ นายอุดม ยังกล่าวว่า ส่วนประเด็นทางการเมืองที่ทั้งฝ่ายการเมืองและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)กังวลเรื่องการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวและการเลือกไขว้ ส.ว.จาก 20 กลุ่มอาชีพ จะทำให้มีปัญหาการทุจริตมากขึ้น ทาง กรธ.ก็รับฟัง แต่ขณะเดียวกัน ต้องชั่งน้ำหนักจากเสียงของประชาชนประกอบด้วย เพราะหากฝ่ายการเมืองไม่เอา แต่ประชาชนไม่มีปัญหาอะไรก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาเท่าไร ทั้งนี้ เสียงสะท้อนทั้งหมด เราจะรับฟัง และพิจารณา หากตรงไหนไม่มี การปรับแก้ เราก็จะให้เหตุผลประกอบด้วย.
สนช.สรุปปรับแก้ รธน.ให้กรธ.
ขณะที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษา เสนอแนะและรวบรวมความเห็นเพื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญของ สนช.กล่าวว่าหลังจากที่ประชุม สนช.อภิปรายให้ความเห็นร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ขั้นตอนต่อไป กมธ.พิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.เป็นประธาน จะรวบรวมและสังเคราะห์ประเด็นที่สมาชิก สนช.ได้อภิปรายให้ข้อเสนอไป เพื่อทำเป็นรายงานเสนอต่อ กรธ.ภายในวันที่15กุมภาพันธ์ ซึ่งสัปดาห์หน้า กมธ.จะประชุมเพื่อสรุปรวบรวมข้อเสนอของ สนช.ส่งให้กรธ.ต่อไปซึ่งกมธ.เห็นว่าเนื้อหาภาพรวมร่างฉบับนี้ถือว่าดีมีกลไกป้องกันการทุจริตแต่ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง4-5ประเด็น
ชู5ประเด็นต้องแก้/ดันสว.สรรหา
ส่วน 5ประเด็นที่ กมธ.จะเสนอให้ กรธ.พิจารณา ได้แก่1.การคัดค้านเลือกตั้งแบบใช้บัตรใบเดียว หรือ ระบบจัดสรรปันส่วนผสม เนื่องจากเห็นว่าซับซ้อน เข้าใจยาก ควรใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเหมือนเดิม 2.ไม่เห็นด้วยการให้พรรคการเมือง ต้องแจ้งชื่อผู้ที่จะเป็นนายกฯ ล่วงหน้า3 คน 3.การเลือกตั้ง ส.ว.ทางอ้อม จาก 20 กลุ่มอาชีพ กมธ.ไม่เห็นด้วย เพราะไม่สามารถป้องกันการบล็อกโหวตได้ อาจเกิดการทุ่มซื้อเสียงเพื่อได้เป็น ส.ว. ควรใช้ ส.ว.มาจากระบบสรรหาทั้งหมดจะเหมาะสมกว่าโดยปรับแก้ที่มาของคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ให้เปิดกว้างมากขึ้น ส่วนข้อเสนอ ส.ว.มาจากสรรหาไม่ใช่ผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อเปิดทางให้ ส.ว.หน้าเดิมได้กลับมาทำงาน แต่เห็นว่า ส.ว.สรรหาที่ผ่านมาทำงานได้ดี ถ้าให้ ส.ว.จากการเลือกตั้งจะหนีไม่พ้น ส.ว.ที่มาจากฐานเสียงนักการเมือง ทำให้หนีไม่พ้นอิทธิพลครอบงำจากฝ่ายการเมือง 4.หมวดการปฏิรูป ที่ในรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เฉพาะเรื่องการปฏิรูปอัยการ การศึกษาและตำรวจ ซึ่งกมธ.เห็นว่า ควรหลากหลายกว่านี้ 5.เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ยังเขียนไม่ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ
เร่งศึกษาร่างเน้น3ส่วนส่งทัน8ก.พ.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรัฐมนตรีให้รัฐมนตรีศึกษารายละเอียดในร่างรัฐธรรมนูญร่างแรก แล้วส่งความเห็นไปยังนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเพื่อรวบรวมส่งไปยังคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ว่าขณะนี้ตนได้ร่วมกับหน่วยงานภายใต้สังกัดทั้งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)และกรมประชาสัมพันธ์ ศึกษารายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับเอกลักษณ์ของชาติ ระบบธรรมาภิบาลและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งอาจมีบางสิ่งที่จะเสนอให้ กรธ.ปรับปรุงเพิ่มเติมโดยจะเร่งดำเนินการและจะส่งให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ 8 ก.พ.นี้
นปช.เชื่อทุกกลุ่มต่อต้านร่างนี้
ในซีกของนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำนปช. ถึงกรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เปิดเผยรัฐธรรมนูญร่างแรกว่ามีคำถามในใจว่า ร่าง รธน.ฉบับนี้จะพาประเทศไปถึงไหน ตามหลักการกฎหมายต่างๆต้องสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และเป็นไปตามหลักสากลที่ส่วนใหญ่เขาใช้กัน คนไทยส่วนหนึ่งเชื่อและหวังว่าการเข้ามาของ คสช.จะแก้ปัญหาความขัดแย้ง และปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้เกิดสันติสุขและมีประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ตามที่ได้ให้เหตุผลไว้
“แต่เมื่อได้เห็นร่างรัฐธรรมนูญแล้ว คนไทยคงผิดหวังอย่างสิ้นเชิง เชื่อว่าร่างฯฉบับนี้จะถูกต่อต้านจากทุกกลุ่ม แม้กระทั่งกลุ่มคนที่เคยสนับสนุน คสช.อีกทั้งยังมีโครงสร้างที่ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย และไม่เป็นไปตามสากล ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะอ่อนแอ
ฟันธงปฎิรูปเหลว/ปราบโกงไม่ได้
นายก่อแก้ว เห็นว่าภาพรวม ร่างฉบับนี้ ไม่ได้ปฏิรูปให้ประเทศไทยดีขึ้น ไม่ทำให้มีประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน ตามที่ คสช.สัญญาไว้ แม้ กรธ.อ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญป้องกันนักการเมืองทุจริตและมีบทลงโทษที่เฉียบขาด จุดนี้ไม่ขอแย้ง แต่การป้องกันการทุจริต ไม่สามารถเขียนรัฐธรรมนูญ ป้องกันได้ทั้งหมด สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบ สอดส่อง รวมถึงสร้างมาตรฐานให้สังคม แต่การพัฒนาและการตรวจสอบถ่วงดุลต้องมีความพอดีกัน ถ้าปล่อยให้มีการพัฒนาโดยไม่มีการตรวจสอบจะเปิดช่องให้มีการทุจริตง่ายขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้าเน้นการตรวจสอบมากเกินไป ก็จะบริหารนโยบายและโครงการต่างๆได้ยากและล่าช้าทำให้ประเทศไทยขับเคลื่อนได้ช้ากว่าคนอื่น
ซัดร่างฉุดปท.ตกต่ำ-ลิดรอนปชช.
นอกจากนี้ นายก่อแก้ว ยังมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ได้นำประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า ทัดเทียมอารยะประเทศ แต่กำลังทำให้ประเทศตกต่ำลง เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอย่างใหญ่หลวง เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยตามหลักสากลและยังลิดรอนอำนาจของประชาชนไปสู่มือของกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจมากมายที่ไม่ได้มาจากประชาชน อีกทั้ง ตรวจสอบถ่วงดุลไม่ได้ด้วย
ล้มล้างปค.เสนอให้ปชช.ยื่นศาลรธน.
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรค แถลงเสนอความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ควรพิจารณาปรับแก้เนื้อหาบางมาตรา เช่นในมาตรา 46 ระบุว่า หากผู้ใดทราบการกระทำใดที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองให้ยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุดเพียงช่องทางเดียวนั้น เห็นว่าควรเพิ่มให้ประชาชนมีสิทธิยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่หาก กรธ.จะคงไว้ว่า ให้ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพียงอย่างเดียวก็ควรเพิ่มเติมให้ประชาชนสามารถยื่นคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ หากกระบวนการของอัยการสูงสุด เกินระยะเวลา 30 วัน
ในมาตรา 127 เรื่องการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติร่างเสร็จแล้ว ไม่ควรให้องค์กรอิสระให้ความเห็นหรือทักท้วงอีก ไม่เช่นนั้นจะเป็นการแทรกแซงอำนาจในการตรากฎหมายได้ และในมาตรา 206 ควรระบุให้ชัดว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอื่นของรัฐ และพรรคการเมือง ต้องระบุให้ชัดถึงความรับผิด หากมีบุคคลใด หรือองค์กรใดละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
‘อุเทน’ติงศาล รธน.ทำสับสน
ด้าน นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทยกล่าวกรณีศาลฎีกาตัดสินจำคุกอดีตเจ้าหน้าที่คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)และอดีตนักการเมืองจากคดีที่พรรคไทยรักไทยถูกกล่าวหาว่าจ้างวานพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้งเมื่อปี2549 ขณะที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตกรรมการบริหารพรรไทยรักไทยที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้สั่งการไปก่อนหน้านี้ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต่อเนื่องมาถึงศาลฎีกา มองได้ว่าพยานหลักฐานในคดีนี้ มีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะเอาผิดพรรคไทยรักไทย ที่ถูกกล่าวหาว่าจ้างวานพรรคเล็ก แต่กลับมีน้ำหนักให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้ง111คนไปเป็นที่เรียบร้อยเเล้วซึ่งสร้างความสับสนอย่างมาก ในบรรทัดฐานของศาลยุติธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญโดยที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงว่า ใครกันแน่เป็นผู้จ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัครและใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำให้การของพยานและจำเลยที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด
จี้กรธ.ทบทวนอำนาจองค์กรอิสระ
นายอุเทนกล่าวต่อว่า ตรงนี้ก็มีคำถามไปถึงการทำหน้าที่ของ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญว่าได้พิจารณาบนพื้นฐานข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด หรือให้น้ำหนักกับพยานบุคคลเพียงอย่างเดียว ทำให้เราต้องมาคิดว่า หากมีการเพิ่มอำนาจให้องค์กรอิสระตามร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แล้วเราจะเชื่อมั่นความถูกต้องชอบธรรมได้ขององค์กรเหล่านี้ได้อย่างไร
“อย่าลืมว่ากระบวนการยุติธรรมไทย เป็นระบบกล่าวหาและให้น้ำหนักกับพยานบุคคล การกล่าวหาพรรคไทยรักไทยจนมีผลให้ถูกยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้จ้างวานพรรคเล็กเหล่านั้นกันแน่ อาจมีขบวนการวางยา สร้างพยานเท็จขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้าม หรือผู้ถูกกล่าวหา อาจจะกระทำผิดจริงก็ได้” นายอุเทน ย้ำ
ชูประชาธิปไตยต้องมี3เสาหลัก
นายอุเทน เสนออีกว่าจากคดีนี้จึงเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญจึงควรอยู่ภายใต้บทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ หมวด 10 ที่ว่าด้วยเรื่องศาลเพื่อขึ้นตรงและเข้าระบบ3ศาล คือชั้นต้น อุทธรณ์ และฎีกา ที่มีการยื่นคำร้องต่อสู้เพื่อให้ศาลได้พิจารณาทบทวนตามขั้นตอน ผิดกับศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้ที่ถูกวางระบบให้เป็นศาลเดียว ฝ่ายผู้ถูกตัดสินไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกาได้เลย ในความเป็นจริงเมื่อเรามีศาลสถิตย์ยุติธรรมอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องแยกออก เป็นศาลรัฐธรรมนูญ ที่มักถูกมองว่าเป็นศาลการเมืองแต่อย่างใด
“พรรคคนไทย ยังเชื่อมั่นในทฤษฎี 3 เสาหลัก ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ไม่ควรมีองค์กรใด เป็นอิสระจากเสาหลักของประชาธิปไตยเหล่านั้น อีกทั้ง ตั้งแต่ใช้รัฐธรรมนูญปั 2540 ซึ่งมีองค์กรอิสระเป็นต้นมา ก็พบปัญหาจากองค์กรเหล่านี้มากมาย ในขณะที่มีหน้าที่ตรวจสอบผู้อื่น แต่ก็มีการกระทำผิดและถูกกล่าวหาเสียเอง ทั้ง กกต.หรือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)เราต้องตระหนักและไม่ควรหลอกตัวเองว่า ประเทศไทยยังไม่พัฒนาถึงขนาดจะมีองค์กรใดมาทำหน้าที่อย่างอิสระ โดยขาดการถ่วงดุลจากองค์กรอื่นๆ” นายอุเทน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี