7 ก.พ.59 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้น ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ตนขอเรียกร้องไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล ให้เปิดกว้างในการวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการลงประชามติ เพราะจะทำให้เห็นทัศนคติมุมมองทั้งจุดเด่นและจุดด้อยมาปรับปรุง ก่อให้เกิดกระแสการตื่นตัวสนใจรัฐธรรมนูญ และส่งผลต่อการลงประชามติตามมาด้วย นอกจากนี้ คสช.และรัฐบาล ควรปูทางเพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศประชาธิปไตยรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในกลางปี 2560
ทั้งนี้ นายองอาจ กล่าวต่อว่า จุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับอื่น คือ ความเข้มข้นในการปราบปรามการทุจริต ที่บัญญัติในหมวดต่างๆ 5 ประการ คือ 1.การป้องกันปราบปรามการทุจริตเป็นหน้าที่ปวงชนชาวไทยไม่ให้ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริต และรัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนเห็นอันตรายต่อการทุจริต มีกลไกที่มีประสิทธิภาพป้องกันและขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบ 2.มีการกลั่นกรองบุคคลเข้าทำหน้าที่ในสภาเข้มข้นมากขึ้น
3.กลั่นกรองบุคคลเข้าทำหน้าที่การบริหารภาครัฐเข้มข้นขึ้น ด้วยการกำหนดคุณสมบัติและการทำหน้าที่จะถูกตรวจสอบได้หลายช่องทาง 4.ให้องค์กรอิสระมีหน้าที่เข้มข้นกว่ารัฐธรรมนูญฉบับอื่น และ 5.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบัญญัติให้มีกฎหมายถึงหลักเกณฑ์การเลือกตั้งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งมีส่วนทำให้การทุจริตเบาบางลง แต่ก็เป็นเพียงหลักการ ส่วนจะปฏิบัติได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จะตามมา ดังนั้น กรธ.ต้องทำให้กฎหมายที่จะออกตามมามีความศักดิ์สิทธิ์สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลในการปราบปรามการทุจริตได้
นอกจากนี้ นายองอาจ กล่าวด้วยว่า มีประเด็นที่น่าสนใจแต่ยังไม่มีคนพูดถึงถ้ามีการปรับแก้ไขจะเป็นประโยชน์มากกว่าปล่อยให้มีผลบังคับใช้ คือ อยากให้แก้ไม่ให้อำนาจประธานรัฐสภาพิจารณาข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.แต่เพียงคนเดียวแต่ควรทำเป็นรูปขององค์คณะ เพราะร่างมาตรา 232 บัญญัติให้ ส.ส.หรือ ส.ว.หรือสองสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้า หรือประชาชนมีสองหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อร้องกรณีร่ำรวยผิดปกติ จงใจขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภา เมื่อเห็นว่ามีหลักฐานอันควรสงสัยตามที่ถูกกล่าวหาให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลฎีกาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
"เราไม่ควรให้ประธานรัฐสภาคนเดียวมีหน้าที่ยื่นข้อกล่าวหาแต่ควรเป็นองค์คณะจากภาคส่วนต่างๆ เพราะถ้าให้ประธานรัฐสภาพิจารณาคนเดียวอาจมีการวิ่งเต้นให้วินิจฉัยว่าไม่มีความผิดได้ตั้งแต่ต้น อีกทั้งประธานรัฐสภายังเป็นคนของรัฐบาลทำให้มองได้ว่าถ้าคนของรัฐบาลถูกตรวจสอบโดย ป.ป.ช.อาจมีการกล่าวหา ป.ป.ช.กลับเป็นการสมรู้ร่วมคิดฮั้วกันจนอาจเกิดการพิจารณาที่ไม่เป็นธรรมได้ กรธ.จึงควรปรับแก้ในส่วนนี้ เพราะเป็นหัวใจสำคัญของการปราบปรามการทุจริต" นายองอาจ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี