เดินหน้าประชาสัมพันธ์
สนช.เบรกกกต.ห้ามแตะ
ฝ่ายความมั่นคงสั่งรับมือ
จัดหนักคนบิดเบือนรธน.
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 9 เมษายน ถึงร่างรัฐธรรมนูญที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากโดยเฉพาะที่ออกมาแสดงความจำนงชัดเจนที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญช่วงที่จะทำประชามติว่าอยากให้เข้าใจว่าการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง การสร้างความรับรู้ สร้างความเข้าใจในเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลได้สนับสนุนอย่างเต็มที่และจะสนับสนุนต่อไปอย่างเต็มที่โดยเฉพาะการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ในการเดินสายทำความเข้าใจกับประชาชน
“โดยในวันที่ 11 เมษายนนี้ จะมีประชุมร่วมทั้ง กกต.และ กรธ.เพื่อหารือถึงร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการทำประชามติ น่าจะมีการกำหนดแนวทางในการดำเนินการต่างๆได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะจากการติดตามผลสำรวจต่างๆรวมถึงจากสื่อ เห็นว่าประชาชน มีความตื่นตัวมีความเข้าใจ ต้องการที่จะศึกษา เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นสิ่งที่ดี เป็นบรรยากาศที่ดีมาก”นายสุวพันธุ์ย้ำ
ย้ำรัฐ-คสช.ไม่ยอมให้บิดเบือน
ส่วนกรณีที่มีการเคลื่อนไหวบางกลุ่มไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือกลุ่มนักศึกษา ออกมารณรงค์คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงกำลังเฝ้าติดตามอยู่ รัฐบาลมุ่งเน้นทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย จะไม่ยอมให้มีการสร้างความขัดแย้ง แตกแยก หรือ บิดเบือนให้เสียหายเด็ดขาด ซึ่งถึงจะเป็นอย่างไร ก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกรอบตามข้อกฎหมายประชามติ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป
กรธ.ทำสรุปร่าง รธน.ใกล้เสร็จ
นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ.กล่าวถึงความคืบหน้าการทำงานของ กรธ.ว่าขณะนี้ กรธ.ทำสรุปสาระสำคัญของร่าง รธน.เกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งรูปแบบการ์ตูนด้วยพร้อมให้กรธ.แต่ละคนไปดู ขาดตกบกพร่องอะไรอีกก็ให้มาเสนอต่อที่ประชุมอีกครั้ง ในวันที่ 11 เมษายนนี้ ส่วนเรื่องประเด็นคำถามพ่วงประชามติ ที่ประชุม คุยกันแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ไปชี้แจงเหตุผลกับประชาชนเอง ส่วน กรธ.จะชี้แจงในส่วนร่างรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยในการไปร่วมเวทีดีเบต เพราะงานของ กรธ.มีมากอยู่แล้ว หากไปดีเบตอาจทำให้เกิดปัญหา เกิดการโต้เถียงกันทำให้เกิดความขัดแย้ง อาจจะเกิดการบิดเบือนทำให้ประชาชนสับสนได้
ห่วงลงพื้นที่แจงอาจมีป่วน
โฆษก กรธ.ระบุยอมรับว่า เป็นห่วงในการลงพื้นที่ชี้แจงประชาชนเพราะอาจเกิดการประท้วงหรือก่อกวนจากกลุ่มผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะการรณรงค์คัดค้าน อาจเกิดการบิดเบือนทำให้ประชาชนสับสน ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย เมื่อถึงเวลาลงพื้นที่ กรธ.ต้องหารือกันถึงรูปแบบ คิดว่ากรธ.ควรขอความร่วมมือจาก ทหารและตำรวจ มาดูแลในการลงพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย เท่าที่จำเป็น
ย้ำกกต.ไม่มีสิทธิแก้คำถามพ่วง
วันเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ให้ความเห็นเรื่อง คำถามประชามติ ว่าทราบดีว่าการทำหน้าที่ การตั้งคำถามที่2 เป็นหน้าที่ของสนช.และสภาก็ประกอบด้วยผู้ทรงภูมิปัญญา มีกระบวนการกลั่นกรองคำถามและผ่านการช่วยเหลือขัดเกลา จากนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมาก ดังนั้น กกต.ไม่มีสิทธิและอำนาจในการแก้ไขคำถาม แต่คำถามประชามติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการทำประชามติ
หากชี้นำก็ไม่เที่ยงธรรมทุกฝ่าย
แต่หากคำถามไม่ชัดเจน มีข้อกังขา มีคำยากที่ประชาชนทั่วไปยากจะเข้าใจ โดยเฉพาะมีลักษณะเป็นการชี้นำ การทำประชามติ ทั้งกระบวนการไม่ว่าจะทำได้ดีเพียงไรก็ยากที่จะให้เกิดความเที่ยงธรรม สมดังความตั้งใจของทุกฝ่ายได้ ตัวอย่างคำถามที่ให้เหตุผลจูงใจไปกับคำถาม เช่น “เพื่อให้มีสุขภาพดีควรทานอาหารเสริมหรือไม่”หรือ คำถามที่ว่า”ในฐานะที่เป็นคนไทยควรรับใช้ชาติด้วยการไปเกณฑ์ทหารหรือไม่”หรือคำถามที่ว่า”ในฐานะที่เป็นพลเมืองดีท่านจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่”เป็นต้นคำถามลักษณะนี้ทางวิชาการจะจัดกลุ่มว่าเป็นคำถามนำ (leading question)”
ยันข้อเสนอมีประโยชน์/พร้อม
นายสมชัย ยืนยันว่า หากการให้ความเห็นของตน จะเป็นประโยชน์ในการนำไปสู่การขัดเกลาข้อความให้ สั้น กระทัดรัด ชัดเจน ไม่มีคำยาก หรือศัพท์แสงทางวิชาการที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ยาก เช่นคำว่า”ปฏิรูป” “ยุทธศาสตร์” “บทเฉพาะกาล” หรือแม้กระทั่งคำว่า”รัฐสภา”และ ไม่มีลักษณะที่อาจถูกเข้าใจว่ามีการชี้นำจนทำให้ประชามติเกิดความกังขา อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเที่ยงธรรมได้ โดยยังคงสามารถยึดความหมายและเจตนาในการถามและการตอบได้อย่างชัดเจน จนสามารถสะท้อนตรงตามเจตนาของทั้งผู้ถามและผู้ตอบได้ ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดี หากทุกฝ่าย ยืนยันว่า เกินขอบเขตเงื่อนไขทางกฎหมายในการปรับแก้แล้วในฐานะผู้ปฏิบัติตามกฎหมายก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการให้มีการออกเสียงประชามติอย่างเต็มที่
สปท.ชี้สุดท้ายต้องให้ปชช.ชี้ขาด
นายอกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ(สปท.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์คำถามพ่วงท้ายการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญของสปท.ที่สนช.มีมติเห็นชอบไปแล้วว่าเป็นปกติที่ทุกฝ่ายที่จะแสดงความเห็นได้ แต่สุดท้าย จะอยู่ที่ประชาชนเป็นคนตัดสินใจในการจะออกเสียงประชาติซึ่งในการแสดงความเห็นต่างๆ สามารถทำได้ และ มองเป็นเรื่องที่ดีในการเริ่มต้นเข้าสู่ประชาธิปไตย อย่ามองว่าการออกมาคัดค้าน เป็นความแตกแยก แต่ควรมองในวิถิประชาธิปไตย ที่กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้ง
“การแสดงความคิดเห็นอย่างมีคุณภาพ โดยหลีกเหลี่ยง การกล่าวหา บิดเบือน เป็นเรื่องที่ดำเนินการได้ ไม่ได้ปิดกั้นในส่วนนั้น ถือเป็นปกติในเส้นทางของการเป็นประชาธิปไตย และผมคิดว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ขณะเดียวกัน ก็ขอให้เป็นเรื่องของประชาขนตัดสินในขั้นสุดท้าย ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง” นายอลงกรณ์ กล่าว
ติงอย่าคิดแทน ปชช.ไม่เข้าใจ
เมื่อถามว่าคำถามพ่วงของสปท.ยาว จนอาจทำให้ประชาชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะระดับล่างจะไม่เข้าใจนั้น นายอลงกรณ์ กล่าวว่าเชื่อว่าประชาชนในขณะนี้ มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และควรให้เกียรติประชาชน โดยอย่าคิดแทนประชาชนว่า จะไม่เข้าใจ เพราะคำถามมีความชัดเจนว่า ส.ว.มีสิทธิร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรี ขณะนี้กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ดังนั้น คำถามพ่วง จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากที่ประชาชนจะเข้าใจ หัวใจสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญนี้ ต้องการป้องกันไม่ให้เกิดวิฤตทางการเมืองกลับมาอีก และประเทศต้องไปสู่การปฎิรูป
สปท.พร้อมร่วมมือชี้แจงปชช.
รองประธานสปท.วย้ำว่าคำถามพ่วงประชามติของสปท.ไม่สามารถที่จะนำมาปรับถ้อยคำได้อีกแล้ว เพราะได้ผ่านความเห็นชอบจาก สนช.และขณะนี้กำลังเข้าสู่หน้าที่ของ กกต.จะไปดำเนินการทำประชามติทั้งในส่วนของร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงทุกอย่างกำลังเดินไปตามกระบวนการ และยืนยันว่า สปท.พร้อมให้ความร่วมมือในการเผยแพร่และทำความเข้าใจกับประชาชน ถึงเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงประชามติ แต่ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติว่าจะมีการขอความร่วมมือมาหรือไม่ โดย สปท.จะให้ข้อมูลอย่างเป็นกลาง ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใด เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ และเราเคารพดุลพินิจของประชาชน”
วิปสนช.ยันปรับแก้คำถามไม่ได้
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช. กล่าวถึงกรณี นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ระบุ มติของสนช.ที่ให้เสนอคำถามพ่วงประกอบการทำประชามติเป็นคำถามยืดยาวเกินไปว่า ยืนยันว่าสนช.พิจารณาประเด็นคำถามพ่วงอย่างรอบคอบแล้ว คิดว่าประชาชนเข้าใจคำถามได้ จากนี้ สนช.จะมีส่วนร่วมไปทำความเข้าใจ อธิบายต่อประชาชนถึงการตั้งประเด็นคำถามพ่วงให้ประชาชนเข้าใจต่อไป ขณะนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้แล้วเพราะหมดเวลาตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี2557ที่ให้ สนช.ส่งคำถามพ่วงประชามติต่อ กกต.ภายใน10วันแล้ว จะไปแก้ไขเรียบเรียงรูปประโยคเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น จึงทำไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ สนช.เสนอไปทุกตัวอักษร สนช.คงไม่ต้องประชุมทบทวนอะไรอีกแล้ว เหตุผลที่ต้องเขียนคำถามพ่วงยืดยาว เพราะต้องการความสมบูรณ์ ให้คำถามมีความเนื้อหาครอบคลุมมากที่สุด จึงใช้ทั้งภาษากฎหมาย และภาษาชาวบ้านมารวมอยู่ในคำถาม ถ้าไปเขียนแบบภาษาชาวบ้าน สั้นๆ เข้าใจง่าย เนื้อหาอาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด ทำให้บทสรุปคำถามที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็นกัน
โต้กกต.ปัดตั้งคำถามพ่วงชี้นำ
นพ.เจตน์ ยืนยันว่าที่ กกต.ระบุว่าคำถามพ่วงดังกล่าวมีลักษณะชี้นำ ถือเป็นมุมองของกกต.แต่ ทาง สนช.ยืนยันไม่ได้ชี้นำ เพราะผ่านการกลั่นกรองจากนักกฎหมาย และคณะกรรมาธิการชุดต่างๆใน สนช.มาเป็นอย่างรอบคอบแล้วโดยยึดคำถามจากที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)เสนอมาเป็นหลักพิจารณาและระดมความเห็นจากคณะกรรมาธิการชุดต่างๆของ สนช.เพิ่มเติมโดยส่วนใหญ่เห็นตรงกัน ให้ตั้งคำถามพ่วงประชามติ ควรให้ที่ประชุมรัฐสภา มีส่วนร่วมพิจารณาบุคคลจะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเปลี่ยนผ่าน5ปีแรกและเชื่อว่าคำถามพ่วงดังกล่าว คงไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ให้ไม่ผ่านการทำประชามติ เพราะเป็นเนื้อหาคนละส่วนกัน
เดินหน้าปมสว.เลือกนายกฯ
ขณะที่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช.กล่าวถึงกรณี การรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจคำถามพ่วงประชามติว่าเป็นหน้าที่ สนช.รับผิดชอบเผยแพร่ทำความเข้าใจกับประชาชน ขณะนี้เป็นช่วงหยุดยาวจึงยังไม่กำหนดวันหารืออย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดวิธีการทำสื่อฯ ตนได้เสนอว่า เนื้อคำถามด้านในของสื่อประชาสัมพันธ์ นั้นๆอาทิแผ่นพับ ใบปลิว หรือสื่อออนไลน์จะเป็นคำถามฉบับเต็มของ สนช.แต่ควรต้องมีคำโปรยปะหน้าภาษาชาวบ้านที่ สั้น-กระชับ เพื่อความเข้าใจง่าย เอาไว้ประชาสัมพันธ์ เบื้องต้น ตนเสนอให้ใช้คำว่า “เห็นด้วยหรือไม่ ที่จะให้ ส.ส.และส.ว.ร่วมกันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี”
ส่วนที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้งติงว่าคำถามพ่วง ยาว และเข้าใจยากนั้นคงมองในมุมนักวิชาการ ส่วนตัวก็ยอมรับว่าอ่านเข้าใจยาก ยาว อย่าว่าแต่ชาวบ้านที่มีหลายระดับเลย นักกฎหมายแต่ละคนยังตีความต่างกัน เชื่อว่านักประชาสัมพันธ์ นักโฆษณาเดี๋ยวนี้เก่ง สนช.จะเชิญเข้ามาช่วยแนะนำ การหาถ้อยคำไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่คือจะสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจกว้างขวางได้อย่างไร ตอนนี้เล็งไว้อาจใช้สื่อ ทีวี วิทยุท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน มาช่วย ขณะนี้ยังไม่เป็นข้อยุติ ต้องรอ สนช.หารือกันก่อน
โพลชี้คนจะลงประชามติเพื่อชาติ
ขณะที่ สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนประเด็นเกี่ยวกับการลงประชามติรัฐธรรมนูญจากประชาชนทั่วประเทศจำนวน1,216คน ระหว่างวันที่ 4-8 เมษายนในหัวข้อประชาชนคิดว่าการลงประชามติรัฐธรรมนูญมีความสำคัญอย่างไร พบอันดับ1เป็นการแสดงออกทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน อันดับ2 มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และการจัดการเลือกตั้งในปีหน้าและอันดับ3ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน ส่วนสาเหตุที่คนจะไปลงประชามติ เพราะอะไร พบว่าร้อยละ 80.43เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของตนเอง ร้อยละ76.97อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าและนำไปสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น และร้อยละ 69.49เพื่อแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตย การเคารพกฎหมายบ้านเมือง
เมื่อถามว่า ประชาชนจะไปลงประชามติว่ารับ หรือไม่รับรัฐธรรมนญหรือไม่ พบว่า ร้อยละ50.58 ไป เพราะเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง และคนไทยทุกคนอยากมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตย ไม่อยากเสียสิทธิ ร้อยละ36.92ไม่แน่ใจ เพราะยังไม่ได้ตัดสินใจ รอตัดสินใจช่วงใกล้ๆ จะลงประชามติอีกครั้ง และร้อยละ12.50ไม่ไปเพราะมีเหตุผลส่วนตัว ไม่สะดวก ไม่สนใจ ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ
เชียร์รณรงค์คนลงประชามติ
สำหรับสาเหตุที่คนจะไม่ไปลงประชามติเพราะอะไร พบว่าร้อยละ72.12 มาจากเหตุผลส่วนตัว ติดธุระไม่สะดวก ไม่ว่าง ไม่สนใจ ไม่ได้ติดตามข่าว เบื่อการเมือง ร้อยละ68.83ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญไม่เข้าใจถึงเนื้อหาและความสำคัญและอีกร้อยละ 60.18ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีความคิดเห็นที่แตกต่าง
ส่วนประชาชนคิดว่าควรจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนไปลงประชามติรัฐธรรมนูญอย่างไรพบ ร้อยละ71.79ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มหลากหลายช่องทางโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ร้อยละ67.43ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญประโยชน์ของการลงประชามติครั้งนี้ ร้อยละ68.95ทำเอกสาร แผ่นพับที่สวยงาม น่าสนใจ อ่านง่าย เข้าใจง่าย ส่งไปตามบ้าน และร้อยละ64.14ให้บุคคลออกมากระตุ้นเชิญชวนโดยเฉพาะนายกฯและ กรธ
โพลชี้คนไม่เชื่อมือนักการเมือง
ด้านชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจ ความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อการแก้ปัญหาบ้านเมืองโดยนักการเมืองโดยสอบถามประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน15จังหวัด จำนวน 5,039คน ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม-8 เมษายนพบว่าประชาชนร้อยละ58.8 ยังลังเล ไม่แน่ใจว่านักการเมืองจะแก้ปัญหาบ้านเมืองในอนาคตได้ดีกว่ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร้อยละ24.7 ไม่เชื่อมั่นต่อนักการเมือง ขณะที่ร้อยละ16.5เชื่อมั่นต่อนักการเมือง
คนอุ้ม’บิ๊กตู่’เหมาะนั่งนายกฯ
เมื่อจำแนกกลุ่มตัวอย่างออกตามจุดยืนทางการเมือง คือกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลและคสช.กลุ่มไม่สนับสนุน และกลุ่มพลังเงียบหรือกลุ่มที่เป็นกลางนั้น พบว่ากลุ่มพลังเงียบร้อยละ 63.9 ยังลังเล ไม่แน่ใจว่านักการเมืองจะแก้ปัญหาของบ้านเมืองในอนาคตได้ดีกว่ารัฐบาลและคสช.ขณะที่ร้อยละ 35.1 ของกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลและคสช.เชื่อมั่นต่อนักการเมือง แต่ในกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลและคสช.ร้อยละ 32.1ไม่เชื่อมั่นนักการเมือง
ต่อข้อถามว่ามีใครหรือไม่ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากกว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.พบว่าประชาชน ร้อยละ76.1ระบุว่ายังไม่มีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า ขณะที่ ร้อยละ 23.9 เห็นว่ามีคนอื่นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี