บิ๊กตู่ชี้คุยคนทำผิดไม่ได้
เลิกถกไฟใต้
ต้องยึดหลักกม.เท่านั้น
ถาม‘รบ.ปู’รั้นทำแล้วจบไหม
จวกสื่อยับวิพากษ์กันส่งเดช
อักษราลั่นเดินหน้าเจรจาต่อ
เมื่อวันที่ 29 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ที่มีกระแสจะไม่เป็นผลสำเร็จว่า อยากจะฝากเตือนไปยังสื่อบางสำนัก ที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหา ไม่จริงใจในการแก้ปัญหา พูดคุยสันติภาพไม่สำเร็จบ้าง ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนารมณ์ที่ตรงกันก็จะแก้ได้ ยอมรับกระบวนการได้หรือไม่ ผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นการสร้างอาชญากรรมที่ร้ายแรงหรือไม่ กลุ่มผู้เห็นต่าง ที่เอาปืนมายิงกันนั้น ผิดกฎหมาย องค์กรที่มีชื่อขึ้นตามทะเบียนต่างๆ เหล่านั้น ก็ผิดกฎหมายทั้งหมด จึงขอให้นำเสนออย่างรอบคอบและคำนึงถึงความมั่นคงในประเทศ
ลั่นเจราจากับคนทำผิดไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่ารัฐบาลไม่สามารถที่จะนำกฎหมายในประเทศไปต่อรองได้ ประเทศไทยเจรจากับผู้กระทำความผิดไม่ได้ เอากฎหมายและ กระบวนการยุติธรรมมาว่ากันซึ่งต้องดูตรงนี้และคณะพูดคุยก็จะนำเรื่องไปหารือว่า เขาจะยอมรับได้หรือไม่ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็กลับมา ทำไม เราต้องไปยอมรับกติกาในการให้เรียกชื่อไม่เห็นใครเขาจะสนใจ แล้วมันมีกี่กลุ่มรู้มั๊ย แล้วรู้มั๊ย ทำไมเขาต้องไปคุยที่ต่างประเทศ เพราะเจรจากับใครไม่ได้ รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมาย ถึงต้องไปคุยนอกประเทศแ ละจะไปดึงเขาเข้ามาในประเทศอีก ไม่เข้าใจกันซักเรื่องแล้ว ก็วิพากษ์วิจารณ์ส่งเดชไปเรื่อย หลายคน จากที่ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็วิจารณ์กันไปเรื่อย อยากนี่อยากโน่นแต่ไม่เคยเข้าใจ
โอดต้องตามแก้ยุค’ปู’ไปพูดคุย
“เราน่ะหลีกเลี่ยงอยู่แล้วเรื่องการพูดคุย รัฐบาลที่แล้วอยากจะคุยก็เชิญ ผมก็ต้องมาตามแก้อยู่นี่ไง แล้วมันจะจบมั๊ยล่ะคุยกันน่ะ เจตนาวันแรกก็ไม่ตรงกันแล้วที่จะขอให้ผมเรียกชื่อกลุ่มเขา ผมรับรองชื่อเขาได้มั้ย ถ้ามันมีชื่อขึ้นก็จะมีกลุ่มอื่นตามมาเรื่อยๆ แล้ววันหลังก็ขึ้นทะเบียนไป รัฐก็ผิด ฉะนั้นใครไปคุยในประเทศเมื่อไหร่ก็ผิดกฎหมายผิดรัฐธรรมนูญเมื่อนั้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เข้าใจให้ตรงกันด้วย ทำให้คนเขาสงบ อย่าไปเพิ่มศักยภาพในการพูดคุยว่าถ้าหากพูดคุยแล้ว จะกดดันจากการใช้ความรุนแรง และอาวุธ ตนให้ไม่ได้ดังนั้นการที่ขอให้เป็นพื้นที่ปิดเพื่อดูแลกิจกรรม ดูแลครู เด็กนักเรียนก็ค่อยๆทำ ถ้าคิดว่า จะพูดคุยกัน ถ้าพูดคุยแล้วจะเร่งรัดให้เรียกชื่อ ให้แสดงความจริงใจ ให้กำหนดในรัฐธรรมนูญว่าให้เป็นวาระแห่งชาติมันอะไรกัน การแก้ปัญหาภาคใต้ก็เป็นวาระแห่งชาติอยู่แล้ว
ยันรัฐบาลมีเจตนาแก้ปัญหา
ทั้งนี้ นายกฯยังยืนยันว่า รัฐบาลมีเจตนาต้องการแก้ไขปัญหาของชาติโดยต้องเป็นไปตามกฎหมาย ให้เป็นธรรม เท่าเทียม ใครบอกไม่เป็นธรรม ไม่เท่าเทียมก็ร้องมาจะสอบให้ ใครจะกลับบ้านก็มีกระบวนการมาตรา21 เขามีไว้หมดแล้วมันจะอะไรกันอีก ซึ่งการแก้ปัญหา หากมีเจตนารมณ์ตรงกัน ก็สามารถแก้ปัญหาให้เสร็จไปได้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าการกระทำของผู้ก่อความไม่สงบผิดกฎหมายหรือไม่ รัฐบาล จึงไม่สามารถไปพูดคุย หรือเจรจาในประเทศได้เพราะขัดกับรัฐธรรมนูณ
‘อักษรา’ลั่นยังคุยสันติสุขต่อ
วันเดียวกัน พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวภายหลังการเดินทางไปพูดคุยฯกับผู้เห็นต่างที่ประเทศมาเลเซียว่า กระบวนการพูดคุย ยังคงดำเนินการต่อไป และยังคงอยู่ในกรอบนโยบายของนายกรัฐมนตรีในระยะของการสร้างความไว้วางใจ ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการ ยืนยัน ไม่ได้หยุดชะงัก แบบที่สื่อมวลชนบางสำนักและนักวิเคราะห์บางท่านเข้าใจ โดยมีความพยายามนำไปเชื่อมโยง กับพล.ท.นักรบ ที่รับพระราชทานยศสูงขึ้นและปรับย้ายตามวาระ ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว หัวหน้าคณะพูดคุยฯก็ได้รับการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกับ ผู้แทนส่วนราชการอื่นๆที่ส่งมาร่วมเป็นคณะพูดคุยรวม 8หน่วยงานและในห้วงนี้ ก็มีการปรับเปลี่ยนตามวาระกันหลายท่าน
“ที่สำคัญที่สุดคือกระบวนการพูดคุย ยังคงเดินหน้าต่อไปตามปกติ และเมื่อ 27 เมษายน คณะได้มีการเดินทางไปประเทศมาเลเซีย เพื่อทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้เห็นต่างฯหรือ Party B แล้ว โดย ได้ฝากความปรารถนาดีของนายกฯและขอบคุณที่ทุกฝ่าย ยังคงร่วมกันพูดคุยเพื่อแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง ให้เกิดความสันติสุขในพื้นที่ต่อไป”
ย้ำต้องยุติรุนแรงถึงทำข้อตกลง
พล.อ.อักษรา กล่าวว่ามีเรื่องเดียวที่ฝ่ายเราและฝ่ายผู้เห็นต่างฯ ยังมองไม่ตรงกันคือผมตั้งคณะทำงานเทคนิค ให้ไปช่วยกันกำหนดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อสร้างความไว้วางใจกับประชาชนแต่ทางฝ่ายผู้เห็นต่าง อยากได้บันทึกข้อตกลงร่วมเหมือนที่เคยเสนอ แต่เขาไม่มีสถานะอะไร ขณะที่ฝ่ายเรา มีคำสั่งสำนักนายกฯชัดเจน จึงเรียนว่า สมควรพิสูจน์ความไว้วางใจกันก่อนเพราะบันทึกข้อตกลง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือ ถ้าหาก ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สังคมจะไม่ไว้ใจกระบวนการพูดคุยฯ จึงจำเป็นต้องยุติความรุนแรงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งให้ได้ก่อนแล้วจึงมาร่วมกันจัดทำข้อตกลงให้ครอบคลุมการปฏิบัติ ในห้วงเวลาของระยะการสร้างความไว้วางใจ
“สิ่งที่เราพยายามทำคือการแยกกลุ่มผู้เห็นต่างฯที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ออกจากขบวนการผิดกฎหมายอื่นๆซึ่งกลุ่มผู้เห็นต่างฯหรือParty Bก็มีความเข้าใจ คือเมื่อไว้ใจแล้วก็จะเกิดความร่วมมือในการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันต่อไป ส่วนบันทึกข้อตกลง ที่ดำเนินการมาแล้ว ฝ่ายเราจะได้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปตรวจดูถ้อยคำ ไม่ให้ขัดแย้งต่อกฎหมายและกติกาสากล โดย สมช.จะนำเรียนให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ก่อนขอให้มั่นใจว่าการพูดคุยเพื่อสันติสุขมิได้หยุดชะงักลงอย่างที่นักวิเคราะห์บางท่านได้ให้ความเห็นไว้ยืนยันยังคงเดินหน้าต่อไปเหมือนเดิม”
สรุปใต้รุนแรงลอบทำร้ายจนท.
ด้าน พ.อ.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.)เผยว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีแนวโน้มที่ผู้ก่อเหตุรุนแรง(ผกร.) พยายามลอบทำร้ายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเช่น การก่อสร้างเส้นทางเพื่อการสัญจรที่สะดวกของประชาชน การซ่อมแซมและสร้างบ้านให้แก่ประชาชน เป็นต้น
“เพราะผกร.ต้องการขัดขวาง ไม่ให้พี่น้องประชาชนได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นซึ่งพล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาทหารบก ในฐานะรอง ผอ.รมน.ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติงานและดำรงการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ เพื่อสนองตอบนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนอยู่ดี มีสุข” ยันปรับกำลังพลตามวาระปกติ
โฆษก กอ.รมน.กล่าวว่าจากกรณีที่มีการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลง เลขานุการ คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เนื่องมาจาก กอ.รมน.ได้มีการปรับเปลี่ยนกำลังพล ในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็นการดำเนินการตามวาระปกติ ในกรณีของ พล.ท.นักรบ บุญบัวทอง ตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก เดิมปฏิบัติหน้าที่ รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5(รอง ผอ.ศปป.5 กอ.รมน.)ได้ปรับเปลี่ยนให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ตามวาระ เช่นเดียวกัน
‘พล.ท.ณรงค์-พ.อ.สิทธิ’จ่อแทน
ทั้งนี้ เนื่องจากคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบด้วยผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็น หัวหน้าคณะ,ผู้แทน จาก กระทรวงการต่างประเทศ,ยุติธรรม,สำนักข่าวกรองแห่งชาติ,สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ,กองทัพบก,ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากคณะประสานงานระดับพื้นที่ นักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสันติภาพ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องโดยให้ผู้แทนกอ.รมน.เป็น เลขานุการ เมื่อพล.ท.นักรบ พ้นหน้าที่ในกอ.รมน.จึงต้องพ้นหน้าที่ เลขานุการของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปโดยปริยายด้วย
ส่วนผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน พล.ท.นักรบ คาดว่าจะเป็น พล.ท.ณรงค์ สบายพร รอง ผอ.ศปป.5 หรือ พ.อ.สิทธิ ตระกูลวงศ์ ซึ่งมาเป็น เลขานุการคณะพูดคุยุสันติสุข
บึ้มทพ.ยะลาดับเพิ่ม1นาย
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าหลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดขึ้น ที่บ้านแคละ ม.4 ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.4708 ฉก.ทพ.47เสียชีวิต 1 นายและบาดเจ็บ5 นาย ล่าสุด มีรายงานจากโรงพยาบาลศูนย์ยะลาว่า เจ้าหน้าที่ทหาร ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้เสียชีวิตเพิ่มอีก1ราย เมื่อกลางดึก คือ อส.ทพ.สุรศักดิ์ สวรรณปาน ซึ่งได้มีพิธีรดน้ำศพที่วัดพุทธภูมิ อ.เมือง จ.ยะลา และจะทำพิธีส่งศพที่ค่ายสิรินธรโดยเฮลิคอปเตอร์จากสนาม ฮ.ค่ายสิรินธร เพื่อไปยังสนามบินทภ.4 ค่ายวชิราวุธ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเคลื่อนย้ายศพโดยรถยนต์ไปบำเพ็ญกุศลที่ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 282 ม.3 ต.ควนชุม อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช
คนร้ายขว้างระเบิดทพ.เจ็บ2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 28เมษายน ร.ต.อ.พิมุข คงประเสริฐ พนักงานสอบสวน สภ.กะพ้อ จ.ปัตตานีรับแจ้งเกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบชื่อและจำนวน ใช้ระเบิดขว้างใส่เจ้าหน้าที่ทหารพราน ทพ.44 ร้อย ทพ.4415 ที่ลาดตระเวนผ่านบริเวณโรงเรียนบ้านบาโงยือแบ็ง หมู่ 5 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2นาย คือ1.อส.ทพ.ศุภวัต บานชื่น อายุ19ปี 2. อส.ทพ.ยอดรัก เดือนเนตร อายุ 27ปี ทั้งสองถูกสะเก็ดระเบิดที่แขน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกะพ้อ หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อส. ต่างกระจายกำลังในการติดตามกลุ่มคนร้ายรายนี้
และได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ของโรงเรียน ปรากฏว่าสามารถบันทึกภาพพฤติกรรมคนร้ายที่ก่อเหตุครั้งนี้โดยคนร้ายได้ซุ่มดูเจ้าหน้าที่ที่กำลังลาดตระเวน เมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ ได้ใช้ระเบิดขว้างไปที่เจ้าหน้าที่ทหารทำให้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ลอบเผารถตู้โดยสารวอด1คัน
วันเดียวกัน พ.ต.อ.วสันต์ พวงน้อย ผกก.สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี พร้อมกำลัง เข้าตรวจสอบลอบที่เกิดเหตุลอบเผารถตู้บริเวณหน้าบ้านเลขที่128/8 ม.2 ต.ตุยง อ.หนองจิก เหตุเกิดเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา พบรถตู้โดยสาร สีขาว ทะเบียน 10-1283 ยะลา ซึ่งเป็นของนายธีรพล เพชรสลับสี ถูกเพลิงไหม้บริเวณล้อหลังและตัวถังเสียหาย สอบสวนนายธีรพล เจ้าของรถตู้ ทราบว่ารถคันเกิดเหตุ เป็นรถตู้รับส่งผู้โดยสารระหว่างปัตตานี-หาดใหญ่ ขณะเกิดเหตุตนนอนเล่นอยู่ในบ้าน มีคนร้ายนำผ้าชุบน้ำมันเบนซิน มาวางไว้ที่ล้อหลังด้านซ้ายของรถตู้ที่จอดไว้หน้าบ้าน และจุดไฟเผา แต่โชคดีมีชาวบ้านพบเห็นจึงช่วยกันดับไฟก่อนจะลุกไหม้ทั้งค้น ส่วนสาเหตุ อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ว่า เป็นการลอบวางเพลิงสร้างสถานการณ์ หรือเป็นเรื่องส่วนตัว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี