โพลล์ชี้รับ-ไม่รับรธน.
วันชัยผวาไล่จับติดกับดัก
ปชป.จี้ฟังแนวคิดทุกฝ่าย
‘กกต.’เล็งผุดกฎเหล็กอีก
‘ปู’โพสต์ทวงความจำบิ๊กตู่
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติประจำปี 2559 ว่า ประเทศไทยเปรียบเหมือนรถไฟ โดยมี คสช. และรัฐบาลเป็นหัวรถจักร อาจจะเก่าเต็มที แต่ก็พยายามปรับใหม่ เดินหัวขบวนที่หยุดมานาน จึงขอให้ทุกคนช่วยกันเป็นแรงส่งให้ประเทศเดินหน้าไปให้ถึง คสช.พยายามเดินหัวขบวนไปข้างหน้าและย้ำว่าไม่ต้องการคะแนนเสียงจากประชาชน แต่ต้องการคะแนนให้ประเทศเท่านั้น โดยต้องคำนึงถึงผู้มีรายได้น้อย ทำอย่างไรทุกคนจะมีรายได้ที่พอเพียง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ยังมีคนหลายคนพยายามมาแกว่ง จึงอยากให้ทุกคนช่วยได้หรือไม่ อย่าตกเป็นเครื่องมือในการบิดเบือน การเมืองก็คือการเมือง ต้องบังคับใช้ด้วยกฏหมาย แต่ทหารตำรวจก็ถูกโดนด่า วนกันอยู่แบบนี้ ยืนยันว่าตนไม่ได้ขัดแย้งกับประชาธิปไตย แต่อยากให้เป็นประชาธิปไตยที่แข็งแรงไม่เอนเอียง และย้ำว่าไม่ได้ยึดอำนาจ แต่รัฐบาลในตอนนั้นไม่มีนายกฯ หากย้อนไปมีการยิงวัดพระแก้วที่เป็นหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ถามว่าใครทำ ยังมีการบิดเบือนกันอยู่ทุกวัน แต่จะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมจัดการ ซึ่งต่อให้ตายตนก็ยอม เพราะพวกตนอุทิศให้หมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ เสี่ยงอันตรายเข้ามา วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ทหารและตำรวจคิดแบบนี้ และจากนี้ไปจนถึงวันที่ 7 ส.ค.วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ขอให้ทุกคนช่วยตนด้วย อย่าทำให้วุ่นวาย อย่าเป็นเครื่องมือของใครและเชิญชวนให้ไปร่วมลงเสียงประชามติด้วย
สปท.เตือนเข้าทางฝ่ายตรงข้าม
นายวันชัย สอนศิริ โฆษกกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า ในระยะนี้เป็นระยะเข้าไต้เข้าไฟ มีคนพวกหนึ่งพยายามที่จะโยนฟืนเข้ากองไฟให้เป็นไฟลามทุ่ง โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่ตรงข้ามกับคสช. จะออกมาเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจรัฐมากขึ้น ด้วยท่าทีจับเป็นจับ คุกเป็นคุก ดังนั้นรัฐบาล และคสช.ต้องทันเกม อย่าไปเล่นตามเกมที่พวกเขากำหนดและอย่าไปติดกับดักของกลุ่มคนพวกนี้ ต้องตั้งหลักให้ดี และร่วมกันวางแผนกับผู้ที่มีประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่าคิดว่าไม้แข็งจะเอาอยู่เสมอไป พลาดพลั้งอาจจะหักได้ ต้องสุขุมนุ่มลึกมากกว่าที่เป็นเช่นทุกวันนี้ โดยเฉพาะสถานการณ์การทำประชามติ ท่าทีท่วงทำนองในการแสดงออกต้องให้เห็นเป็นบรรยากาศของประชาธิปไตย แต่ยึดไว้ด้วยกฎกติกาตามที่กฎหมายกำหนด
แนะรัฐบาลต้องสุขุม-นุ่มลึก
นายวันชัย กล่าวอีกว่า รัฐบาล และคสช. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงให้เข้าใจว่าการทำประชามติครั้งนี้ประชาชนต้องเป็นใหญ่ ตัดสินใจด้วยตัวของประชาชนเอง ไม่ต้องการให้ใครมาจูงจมูก ให้เป็นเสียงที่บริสุทธิ์จากประชาชนจริง ๆ ใครจะแสดงความคิดเห็นใด ๆ ตามกฎกติกาก็ว่ากันไป แต่ห้ามโน้มน้าวชักจูง รณรงค์ให้รับหรือไม่รับ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะแตกแยกเสียก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
นายวันชัย กล่าวต่อว่า ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ต้องทำเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง อย่าเที่ยวไปจับดะ เล่นไม้แข็งไปหมด เพราะผลเสียที่สะท้อนกลับมาก็จะกระทบต่อคสช. และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ดังนั้น กกต.ในฐานะเจ้าภาพเรื่องนี้จะต้องเป็นหลัก ทำงานอย่างเป็นเอกภาพและมีประสิทธิผลอย่างแท้จริง ซึ่งจากการทำงานในครั้งนี้ของ กกต.ถือว่า เป็นครั้งแรกที่ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาล คสช. และจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี จึงต้องทำงานให้ประชาชนมั่นใจว่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้เป็นอย่างดี ถ้าครั้งนี้ทำไม่ได้ครั้งต่อไปก็คงจะสิ้นหวัง ดังนั้น กกต.ต้องเป็นหลักในการกำกับกฎกติกา อย่าเล่นการเมืองกันเอง ลำพังแค่นักการเมืองเล่นการเมืองก็วุ่นพออยู่แล้ว ขืน กกต.มาเล่นการเมืองกันเสียเอง ก็จะยุ่งกันไปใหญ่
กกต.ยันประชามติพร้อมแล้ว
นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงความคืบหน้ากระบวนการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ทางกกต.ได้จัดเตรียมแผนงานต่างๆไว้พร้อมหมดทุกขั้นตอนแล้ว ทั้งการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ สรุปสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิออกเสียงให้มากที่สุด ซึ่งขั้นตอนของการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญทางฝ่ายที่รับผิดชอบก็อยู่ระหว่างดำเนินการประกวดราคาเพื่อหาโรงพิมพ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ประสานสภาอุต-หอการค้า
ขณะเดียวกันหลังจากนี้ตนก็จะประสานขอความร่วมมือจากสภานายจ้างเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างในการลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงนอกเขตจังหวัดทางอินเตอร์เน็ตโดยสามารถใช้อินเตอร์เน็ตของนายจ้างได้ รวมทั้งขอความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมและทางหอการค้าไทยเพื่อให้ลูกจ้างสามารถออกมาใช้สิทธิออกเสียงในวันที่ 7 สิงหาคมได้ด้วย
นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าประกาศกกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสดงความคิดเห็นในการออกเสียงประชามติไม่ชัดเจนนั้น ขอชี้แจงว่า หลักการง่ายๆถ้าการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเป็นไปโดยสุจริต ไม่ปลุกระดม ไม่ขัดต่อหลักกฎหมายสามารถทำได้เลย ยกตัวอย่าง ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร แสดงเหตุผลออกมาในเชิงวิชาการแบบนี้ทำได้ แต่หากปลุกระดมว่าไม่ควรรับร่างรัฐธรรมนูญ แบบนี้ทำไม่ได้ แม้กระทั่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) จะไปปลุกระดมให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ก็ทำหน้าที่อธิบายประเด็นคำถามเพิ่มเติมและเหตุผลไป
วิจารณ์อย่างสุจริตย่อมทำได้
“คนที่ทำหน้าที่ชี้ว่า สิ่งใดผิดหรือไม่ผิดคือศาลยุติธรรม ตอนนี้กกต.ออกแนวทางปฏิบัติทำได้ 6ข้อ ทำไม่ได้ 8 ข้อ ซึ่งถ้าหลังจากนี้จะมีสิ่งใดอีกกกต.ก็จะออกเป็นประกาศเพิ่มเติมต่อไป ขณะนี้ กกต.ก็กำลังทยอยคิดอยู่ แต่เอาง่ายๆว่าการวิจารณ์ถ้าอยู่บนพื้นฐานของความสุจริตใจทำได้ การโพสต์ข้อความอย่าไปปลุกระดม หรือใช้ถ้อยคำที่หยาบคายก้าวร้าว รุนแรง อย่างไรก็ตาม ขอประชาชนอย่าไปกังวลเกินเหตุกับแนวทางต่างๆที่ออกมา หากปฏิบัติตามกรอบกฎหมายก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร“ประธาน กกต.กล่าวและว่า การทำประชามติครั้งนี้ ตนอยากขอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิกันให้มาก ส่วนจะมีความเห็นอย่างไรก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของทุกคน กฎหมายรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศใช้บังคับกับทุกคน ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนออกมาใช้สิทธิกันให้มากๆ
นิด้าโพลล์เผยเกิดครึ่งไปใช้สิทธิ์
วันเดียวกันศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ผลสำรวจครั้งที่ 1: การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559”ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25-26 เม.ย.ที่ผ่านมา จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไปทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,500 หน่วยตัวอย่าง
เกี่ยวกับการตัดสินใจลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.20 ระบุยังไม่ตัดสินใจเกี่ยวกับการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ รองลงมา ร้อยละ 35.87 ระบุว่าไปลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 14.00 ระบุว่า ไปใช้สิทธิ แต่ไม่มีมติไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน และร้อยละ 11.93 ระบุว่าไปลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
ส่วนการตัดสินใจของประชาชนเกี่ยวกับข้อเสนอการให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5ปี มีสิทธิร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้นั้น พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ38.20 ระบุว่า ไปลงมติเห็นด้วย รองลงมา ร้อยละ 29.40 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 26.27 ระบุว่า ไปลงมติไม่เห็นด้วย และร้อยละ 6.13 ระบุว่า ไปใช้สิทธิ แต่ไม่มีมติไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน
‘องอาจ’ซัดประชามติมัดมือชก
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการออกเสียงประชามติว่า เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาสาระของกฎหมายประชามติ และบรรยากาศของการทำประชามติแล้วพบว่า เป็นไปในลักษณะมัดมือชก เพราะมาตรา 10 ของกฎหมายประชามติ เปิดโอกาสให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนทราบได้โดยไม่ถือว่าเป็นการจูงใจ สามารถใช้ข้าราชการของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน นับแสนคนออกไปอธิบายถึงร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งย่อมเชื่อได้ว่าคงออกไปประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีของรัฐธรรมนูญ
สำหรับ สนช. ก็สามารถดำเนินการประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีของคำถามพ่วง ที่ให้ ส.ว. จากการคัดเลือกขั้นสุดท้ายของ คสช. มีสิทธิเลือกนายรัฐมนตรีได้เต็มที่เช่นเดียวกับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ในส่วนของผู้ที่เห็นต่างไม่สามารถออกไปพูดถึงความเห็นที่แตกต่าง ไม่สามารถพูดถึงข้อเสีย ในรัฐธรรมนูญโดยมีหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ งบประมาณของรัฐ ร่วมมือสนับสนุนแต่อย่างใด
“การที่รัฐเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายหนึ่งพูดถึงข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่ไม่เอื้อ ประโยชน์ให้อีกฝ่ายหนึ่งพูดถึงข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญได้ จึงเท่ากับเป็นการมัดมือชก ทางที่ดีรัฐควรเปิดพื้นที่ร่วมมือ สนับสนุน ให้ผู้เห็นต่างดำเนินการเช่นเดียวกับที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญทำได้ ก็จะถือว่าเป็นการทำประชามติ ที่เสรี และ เป็นธรรม”
‘เสรี’สับหลักเกณฑ์ยังสับสน
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวถึงการออกหลักเกณฑ์ของ กกต. ถึงสิ่งที่ทำได้และไม่ได้ในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า หลักเกณฑ์ที่ออกมาของ กกต.ยิ่งเขียนยิ่งสับสน เพราะสิ่งที่ห้ามทำในการทำประชามติเขียนไว้ชัดเจนแล้วในมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 แต่หลักเกณฑ์ที่ กกต.กำหนดขึ้นมานี้ ทำให้เกิดความคลุมเครือสับสน เช่น การห้ามรณรงค์ให้คนคล้อยตามเพื่อให้รับหรือไม่รับร่างที่มีลักษณะปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองนั้น หมายความว่าถ้ารณรงค์ในลักษณะไม่ใช่การปลุกระดมสามารถทำได้ใช่หรือไม่ ซึ่งขัดต่อกฎหมายประชามติที่ห้ามรณรงค์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ หรือการติดป้าย เข็มกลัด สติกเกอร์ เป็นการบุคคล ที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ระบุว่า สามารถทำได้ แต่ให้พึงระวังสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย สรุปแล้วหมายความว่า จะทำได้หรือไม่กันแน่ หลักเกณฑ์ที่ กกต.ออกมา จะทำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตีความของเจ้าหน้าที่ หากเป็นเช่นนี้ประชาชนจะไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะกลัวสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายประชามติ
‘วัชระ’แนะตร.ทำตามกฎหมาย
นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจโชว์ใบเสร็จว่านายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จ่ายเงินจ้างทำเพจล้อเลียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ดูเป็นตัวตลกว่า ถือเป็นมุขเก่าๆ ของนายจตุพรที่ใช้มาตลอด ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรสนใจ แต่ควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะถ้าตำรวจหลงกล นายจตุพรก็อาจจะออกมาอ้างอีกว่าเป็นหลักฐานปลอม เหมือนคนเสื้อแดงที่กระทำความผิดแล้วถูกจับได้คาหลังคาเขานายจตุพรก็จะออกมาแถลงหน้าตาเฉยว่าเป็นคนเสื้อแดงปลอมทุกครั้ง
“พยานหลักฐานเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รวบรวมทำสำนวนส่งอัยการฟ้องศาล ใครจะมาใช้วิธีการแบบที่เคยทำในสมัยรัฐบาลทักษิณยิ่งลักษณ์ไม่ได้ ยกเว้นว่ายังมีตำรวจมะเขือเทศแอบแฝงอยู่เท่านั้นส่วนการที่นายจตุพรต้องแถลงเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายพานทองแท้ ชินวัตร ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเพราะอะไร ไม่ต้องอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่”
‘เต้น’เย้ยโยง’โอ๊ค’จำเลยลอยๆ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่าการระบุชื่อบุคคลต่างๆในผังที่เป็นข่าวนั้น เป็นการเอามาเกี่ยวไว้ลอยๆ โดยเฉพาะนายพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้จ่ายเงินค่าจ้าง ก็ไม่มีการแสดงหลักฐาน และไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่เอามาเป็นจำเลยทางการเมือง เห็นนายกฯไปพูดที่ไหนก็มักมีลูกเล่นให้คนฮา และดูเหมือนทีมการเมืองของรัฐบาลจะถือเป็นตัวชี้วัดความนิยมด้วย คือ ถ้างานไหนฮามากแสดงว่าคนชื่นชอบมาก จึงไม่นึกว่าอยู่ๆจะไปไล่จับเด็กที่ไปทำเพจล้อเลียนได้
‘ปู’โพสต์ทวงความจำ’บิ๊กตู่’
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “วันนี้ขออนุญาตเขียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน่อยนะคะ เพราะแม้ว่าวันนี้สถานะเราจะต่างกัน แต่เมื่อก่อนเราก็เคยร่วมงานกัน และดิฉันก็เคยอยู่ในสถานะเช่นท่านมาก่อน แม้ว่าที่มาที่ไปของเราจะต่างกัน จึงเข้าใจความรู้สึกของท่านเวลาถูกต่อว่าต่าง ๆ นานา ในฐานะที่เป็นผู้นำถือเป็นบุคคลสาธารณะ ที่ต้องพร้อมเปิดใจรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในด้านดีและด้านลบ ที่มีต่อตัวเอง หรือรัฐบาล เพราะดิฉันเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ต้องเป็นฝ่ายอดทนมาโดยตลอด ย่อมเข้าใจความรู้สึกท่านดี เพียงแต่ดิฉันไม่สามารถที่จะออกกฎหมายหรือคำสั่งการใดๆให้เป็นกฎหมายได้เช่นท่าน ซึ่งเมื่อก่อนท่านก็เคยพูดกับดิฉันว่า ยามบ้านเมืองแตกแยก ถ้าคิดแต่เอากฎหมายมาปลดคนนั้นคนนี้ออก เพียงเพราะไม่สนองตอบนโยบาย หรือเอากฎหมายมาใช้บังคับคน ให้ทำงานตามคำสั่ง จะยิ่งทำให้สถานการณ์มันแย่และเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ซึ่งดิฉันก็พูดมาโดยตลอดว่าคนที่มีความคิดเห็นต่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยก แต่จะเป็นการดีที่จะได้ช่วยกันแสดงความคิด ความเห็นในการพัฒนาประเทศมากกว่า วันนี้ดิฉันจึงอยากจะขอฝากสิ่งที่ท่านเคยพูดไว้ หวังว่าท่านคงจะไม่ลืม และนำไปใช้เช่นเดียวกัน ตามที่เคยบอกกับดิฉันเมื่อสองปีที่แล้วนะคะ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี