4 พ.ค.59 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษากรณี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ร้องขอความเป็นธรรมต่อ ป.ป.ช.ให้พิจารณาถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ว่า เรื่องนี้มีความเห็นในข้อกฎหมาย จึงให้คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายได้พิจารณา ซึ่งได้คำตอบว่าดำเนินการได้ แต่จะดำเนินการหรือไม่นั้นอีกประเด็นหนึ่ง จึงต้องพิจารณาตามหลักการและเหตุผล คิดทุกๆ ด้าน อาทิ ข้อกฎหมายที่ยังเห็นแตกต่างกัน ข้อเท็จจริงที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องขอความเป็นธรรม ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ แม้แต่เรื่องประโยชน์ที่สาธารณะจะได้รับ
"ผมขอย้ำว่า ถึงเวลานี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ได้พิจารณาใดๆ เพียงดูว่าเมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาเราจะดำเนินการอย่างไร ก็ให้คณะทำงานพิจารณาอย่างรอบคอบ ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาถึงเพิ่งมาร้องขอความเป็นธรรมช่วงนี้ ทั้งที่ผ่านมาหลายปี เพราะไม่ว่าใครขอความเป็นธรรมต่อกรรมการ ป.ป.ช.เข้ามาเราก็รับทุกเรื่อง ตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานก็มีหลายเรื่องที่ร้องขอเข้ามา มีอยู่ตลอดเวลา เป็นไปตามกระบวนการปกติ แต่เรื่องอื่นๆ อาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นที่สนใจของประชาชน" ประธาน ป.ป.ช. กล่าว
พล.ต.อ.พัชรพล กล่าวอีกว่า กรรมการ ป.ป.ช.ต้องตระหนัก หากต้องไปถอนฟ้องจริง การทำอะไรทุกอย่างต้องถูกต้องระเบียบกฎหมายทุกประการ ถ้าเราทำผิดกฎหมายทั้ง 9 กรรมการ คงไม่ทำ และตนเองก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน ดังนั้น ยืนยันว่าอะไรที่ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ ไม่ทำ ถูกกฎหมายถูกระเบียบแล้วบางครั้งก็ต้องวิเคราะห์ถึงปัจจัยรอบข้างอื่นๆ ประกอบด้วย การที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องขอความเป็นธรรมมาใหม่นั้น กรรมการ ป.ป.ช.ต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณา เพราะเป็นเรื่องรายละเอียดที่ต้องเปรียบเทียบ เพราะเรื่องนี้เกิดมานานพอสมควร ดำเนินการไต่สวนไปมากแล้ว กระทั่งมีการพิจารณาในชั้นอัยการสูงสุด และขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกา และแม้ว่าโดยกฎหมายหากมีเหตุผลที่จะดำเนินการได้ที่สุดแล้วก็ต้องอยู่ที่ศาลวินิจฉัย ไม่ใช่อำนาจกรรมการ ป.ป.ช.
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ต้องดูว่าการที่เขาขอความเป็นธรรมมันมีเหตุมีผลหรือไม่ ขอความเป็นธรรมไม่พอยังขอให้เราถอนฟ้อง ซึ่งเป็นฟ้องที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องเอง ฉะนั้นต้องเอาทุกปัจจัยมาพิจารณา ผมย้ำอีกครั้งว่า วันนี้กรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ได้มีมติใดๆ เพียงแต่บอกให้ไปศึกษา
เมื่อถามว่า สังคมยังข้องใจว่า พล.ต.อ.พัชรวาท หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหานั้น เป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.วัชรพล เอง ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า ตนพูดเสมอว่าในชีวิตราชการ 40 กว่าปี มีผู้บังคับบัญชา มีคนรู้จักมากมาย แต่เมื่อมาทำงานในหน่วยงานที่ต้องให้ความเป็นธรรม และจุดนี้ก็เป็นที่เฝ้ามอง มีหน้าที่ทำให้สุจริต โปร่งใส มืออาชีพ เราก็ต้องทำเต็มที่ เพราะถ้าไม่ทำ สื่อมวลชนก็บอกอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ได้รับความสนใจ กรณีที่มีข้อกังขาว่าตนอาจมีส่วนได้เสียในการพิจารณาประเด็นนี้ ตรงนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ตนเองที่ใครก็ตามเรื่องความเหมาะสมในการที่จะมาพิจารณาเรื่องนี้ ก็ต้องไปพิจารณา เพราะอาจจะมีสภาพร้ายแรงตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าเหมาะสมหรือไม่
เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าไม่มีใบสั่งจากใคร หรือมีแรงกดดันในเรื่องนี้ ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า การทำตามหน้าที่ กฎหมาย ใครจะกล้าสั่งให้เราทำในสิ่งที่ผิด ถ้าเป็นคุณมาอยู่ตรงนี้ แล้วมีคนมาขอให้ทำในสิ่งผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรม ผิดศีลธรรม เราจะทำหรือไม่ ยิ่งมีคนเฝ้ามองด้วย ก็ไม่ทำแน่ กรรมการ ป.ป.ช.ทุกคน เสียสละมาทำงาน ผ่านการสรรหา คงไม่มีใครเอาชื่อเสียงเกียรติยศมาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ยืนยันได้ ไม่ต้องห่วง
เมื่อถามว่า เสียงวิจารณ์ขณะนี้ไปถึงเรื่องความสง่างามของ ป.ป.ช.นั้น ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า วันนี้ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วอะไรคือความสง่างาม เข้ามาทำงาน 4 เดือน ก็ทำงานหนัก พยายามขับเคลื่อนทุกเรื่อง ปรับระบบการทำงาน เร่งรัดทุกอย่าง เจ้าหน้าที่ทำงานหนักอย่างเต็มที่ ก็สง่างามอยู่แล้ว หากไม่สง่างามเพราะผมมาเป็นประธาน แล้วผมทำอะไรผิดผมก็อยู่ไม่ได้ ผมไม่สามารถอยู่ได้ในองค์กรที่ทุกคนคาดหวัง แต่วันนี้เราก็ทำให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่ดีที่มีเสียงค้านและทบทวนเรื่องถอนฟ้อง อย่างน้อยเพื่อประโยชน์สาธารณะว่าเป็นประโยชน์หรือไม่ ต้องคิดทุกปัจจัยไม่แค่เรื่องกฎหมาย แต่ต้องให้ความเป็นธรรม คิดทุกมิติ ยืนยันว่าวันไหนที่กรรมการจบ ตนจะเป็นผู้แถลงให้สื่อมวลชนได้รับทราบเหตุผลเองว่าที่ตัดสินใจอย่างนั้นเพราะเหตุใด ตนไม่กังวลหากเราทำสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าถูกฟ้องก็เชื่อว่าได้รับความเป็นธรรมในชั้นการพิจารณาของศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับการขอมติที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช.ต้องครบ 9 เสียง ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ องค์คณะโดยปกติก็ต้องเข้าครบ 9 คนอยู่แล้ว นอกเสียจากใครมีเหตุผลติดขัดเรื่องใด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างตนถ้ามีการโต้แย้งว่ามีสภาพร้ายแรง เข้าไม่ได้ตาม ป.วิ ปกครอง กรรมการที่เหลือ 8 เสียง ก็ต้องเป็นผู้พิจารณา ตราบใดที่เสียงเกินกว่า 5 เสียง ก็สามารถวินิจฉัยได้ และกรรมการทั้ง 8 คน จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าตนมีสภาพร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็แล้วแต่มุมมอง ซึ่งถ้าตนถูกชี้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และตนมีสภาพร้ายแรงเข้าไม่ได้ ตนก็จะรู้สึกสบาย และแฮปปี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี