ยื่นสตง.สอบ2รองผู้ว่าฯกทม.
ปชป.ขย่มซ้ำ
จี้ชายหมูโชว์สปิริตคดีไฟ39ล.
โวยังมีอีกหลายเรื่องเตรียมแฉ
จ้องเล่นงานจัดซื้อรถ180ล้าน
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตสส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กล่าวกรณีที่ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดในโครงการในการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Motif of Light) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้งบประมาณ 39.5 ล้านบาท และเตรียมฟ้องกลับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ควรไปทบทวนว่าการจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องหรือไม่ มิฉนั้นอาจจะตกเป็นจำเลยเสียเอง
ส่วนที่การที่ผู้ว่าฯกทม.อ้างว่าไม่ผิด เพราะไม่ได้ลงนามในเอกสารนั้น จะทำให้บริษัทที่รับงานสามารถนำไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกทม.ได้ และแม้ผู้ว่าฯกทม.ไม่ได้เซ็นแต่ในฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยงานก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว อีกทั้ง นายอมร กิจเชวงกุล และนายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯกทม. ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย
“ในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ เวลา 10.30 น. ผมจะแถลงข่าวพร้อมกับทำหนังสือยื่นต่อ สตง. เพื่อขอให้เพิ่มผู้ถูกกล่าวหาอีก คือรองผู้ว่าฯ กทม. 2 คน รวมทั้งแถลงถึงความไม่โปร่งใสของบริษัททัวร์ที่รับงานประมูลดังกล่าว เพราะไม่เคยประกอบอาชีพอื่นจึงต้องสงสัยว่าอาจมีผลประโยชน์แลกกันหรือไม่”
นายวิลาศ ย้ำด้วยว่า ยังมีข้อมูลความไม่ชอบมาพากลของกทม.อีกหลายประเด็น คือเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา กทม. ได้จัดซื้อเครื่องสูบน้ำชนิดลากจูง ลักษณะต่อเป็นตัวถังรถครอบเครื่องสูบน้ำที่ต้องใช้ยานพาหนะลากจูงในการขนย้ายเพื่อความสะดวก รวดเร็วในการใช้งานยิ่งขึ้น แม้จะมีน้ำหนักถึง 4 ตัน ในราคาเครื่องละ 934,000 บาท รวม 200 คัน มีมูลค่ามากกว่า 180 ล้านบาท
แต่เมื่อจะใช้งานจริง กลับปรากฎว่า ใช้รถปิคอัพลากไม่ได้เพราะรถสูบน้ำมีน้ำหนักมากกว่า ลากไม่ไป จึงต้องใช้รถหกล้อลาก แต่ก็เกิดปัญหาคือท้ายของรถสูบน้ำลากจูงห้อยติดพื้นถนน จึงต้องใช้วิธีขนย้ายโดยยกขึ้นรถสิบล้อในการขนย้ายแทน ก็ยิ่งเพิ่มภาระและไม่ตรงวัตถุประสงค์ จึงไม่เข้าใจว่าซื้อมาทำไม เพราะซื้อเครื่องสูบน้ำธรรมดาในสเปคเดียวกัน มีราคาถูกกว่าครึ่ง คือเครื่องละ 4 แสนบาทเศษเท่านั้น
นายวิลาศ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเตรียมจัดซื้อรถขัดพื้นผิวถนนให้กับสำนักงานเขตต่างๆของกทม. อีก 30 คัน ในราคาคันละ 6 ล้านบาทรวมมูลค่า 180 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้มีการซื้อรถชนิดเดียวกันนี้มาให้สำนักรักษาความสะอาดของ กทม.ใช้แล้วรวม 20 คัน ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยมาก โดยรถส่วนใหญ่จอดกองกันอยู่ที่ย่านสะพานพระราม 7
“ปีที่แล้ว กทม.ใช้งบประมาณ 3,800 ล้านบาทซื้อเครื่องจักรกล ส่วนใหญ่ซื้อจากบริษัทรายเดียวกัน ผมกำลังรวบรวมหลักฐานให้ สตง.)ตรวจสอบอยู่”นายวิลาศระบุ
วันเดียวกัน นายบุญยอด สุขถิ่นไทย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ผู้ว่าฯ กทม.ปฎิเสธข้อกล่าวหาของ สตง. ที่สอบสวนโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Motif of Light) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้งบประมาณ 39.5 ล้านบาทบาทมีความผิดปกติเอื้อประโยชน์ให้เอกชนผู้รับเหมา ว่า เท่าที่ตนฟังนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่ได้อธิบายเรื่องที่ส่อไปทางการฮั้วประมูลตามที่ สตง. ตั้งขอสังเกตมา
กระนั้นก็ตามในเรื่องนี้ก็ต้องให้เป็นไปตามขั้นตอน เมื่อ สตง. มีความเห็นไปแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า จะรับเรื่องไหม ซึ่งที่ผ่านมาทางพรรคได้ติดตามโครงการต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชน เช่น เรื่องโครงการจัดซื้อรถดูดเลน เรื่องการต่อสัญญารถไฟฟ้าบีทีเอสเรื่องการติดกล้องซีซีทีวี เป็นต้น ซึ่งสมาชิกพรรคบางคนก็ได้ตั้งคำถามเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น จนถึงเรื่องจัดแสดงอุโมงค์ไฟ 39.5 ล้านบาท
โดยพรรคได้พยายามขอให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เข้ามาอธิบายแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับ จนนำไปสู่การแถลงตัดความสัมพันธ์ระหว่างพรรค กับทีมบริหารท้องถิ่น กทม. ซึ่งทางทีมบริหาร กทม. ต้องอธิบายเรื่องนี้กับประชาชนเอง โดยไม่ควรพาดพิงอะไรกับพรรคอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือไม่ นายบุญยอดกล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องไปถึงขั้น ป.ป.ช. ก่อน แต่ถ้าดูจากกรณีของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. ที่ลาออกเพราะถูก ป.ป.ช.ชี้มูลคดีรถดับเพลิง แล้ว เมื่อถึงจุดนั้นแล้วทางผู้บริหารควรพิจารณาตัวเองเช่นเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็คือหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรอพิสูจน์ตัวเองก่อน โดยเป็นเรื่องที่ควรจะทำ ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหนก็ตาม
เมื่อถามถึงการใช้มาตรา 44 ปลด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตามข้อเสนอของนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ นายบุญยอด แย้งว่า นั่นเป็นความเห็นส่วนตัวของนายวิลาศ แต่ทางพรรคไม่ได้มีความเห็นอะไร และส่วนตัวเห็นว่า เรื่องนี้ปล่อยเป็นไปตามกระบวนการ โดยสามารถดำเนินไปตามปกติได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44
นอกจากนี้ นายบุญยอด ยังได้กล่าวถึงกรณีนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ระบุให้พรรคประชาธิปัตย์ร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีนี้ด้วยว่า ตนขอถามกลับว่านายอนุสรณ์เคยส่องกระจกดูตัวเองบ้างไหมก่อนที่จะถามคนอื่น ขอให้ส่องกระจกดูตัวเองก่อนว่า ผู้บริหารพรรคของตัวเองมีความประพฤติอย่างไร เนื่องจากการถามหาความรับผิดชอบกรณีนี้กับพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่า นายอนุสรณ์ไม่ได้ศึกษาหรือดูอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ขณะที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าตนสนับสนุนให้นายกฯและหัวหน้า คสช. ใช้ม.44 กับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรและคณะ เพื่อให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนั้นตั้งใจปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังไม่ดำเนินการเฉพาะนายกอบต.บ้านนอกเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี