อาจารย์เมินคำขู่บิ๊กป้อม
ร้อง‘ยูเอ็น’
สอบคสช.ละเมิดสิทธิ
อ้างปิดกั้นความคิดเห็นต่าง
เล็งยกระดับกดดันรบ.ไทย
ปชต.ใหม่ยันขายเสื้อไม่ผิด
กรธ.ลุย‘นครนายก’แจงร่าง
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน กทม.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่าย นักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) นายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ.และน.ส.ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) เข้าพบตัวแทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็นโอเอชซีเอชอาร์) เพื่อยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ที่คิดเห็นต่างจากรัฐบาล
บุกร้องยูเอ็น’คสช.’ละเมิดสิทธิ์
โดยหนังสือระบุว่า ภายใต้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ที่มีความคิดเห็นต่างและอาศัยอำนาจจากรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา44 รวมถึงคำสั่งคสช.ฉบับที่3/2558และฉบับที่13/2559 โดยมีการจับกุมและซ้อม ทรมานประชาชนต่างขั้วการเมือง รวมถึงนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ สื่อมวลชน นักกิจกรรมสังคมและนักการเมือง จากการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์คสช.ด้วยการเรียกตัวเข้าค่ายทหารเพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับทัศนคติและส่งเจ้าหน้าที่ติดตามชีวิตประจำวัน อีกทั้งละเมิดสิทธิส่วนตัวในระบบคอมพิวเตอร์และแจ้งดำเนินคดีด้วยกฎหมายที่รุนแรง
เห็นต่างเจอจับ-แจ้งข้อหาหนัก
นอกจากนี้ ยังจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงมากขึ้นในระหว่างการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีการจับกุมผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊กที่ล้อเลียนหัวหน้าคสช.พร้อมจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง 8คนและต่อมา ศาลทหารได้ออกหมายจับในความผิดเกี่ยวกับพรบ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112(หมิ่นสถาบันเบื้องสูง)และม.116 ซึ่งเครือข่ายนักวิชาการฯ มองว่าการจับกุมประชาชนทั้ง 8คน เป็นจุดเริ่มต้นการกวาดล้างผู้เห็นต่าง สร้างบรรยากาศความกดดันและสอดคล้องกับที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ดังนั้น จึงมีความกังวลต่อสถานการณ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จึงขอเรียกร้องต่อยูเอ็นโอเอชซีเอชอาร์ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว พร้อมกับแสดงท่าทีไปยังรัฐบาลและคสช.ให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกกรณีโดยเร็ว
คสช.อ้างอยู่ในสถานการณ์พิเศษ
จากนั้น นายอนุสรณ์ กล่าวหลังเข้าพบรักษาการข้าหลวงใหญ่ฯ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่า ได้หารือถึงแนวทางสิทธิการแสดงออก สิทธิมนุษยชน และการออกเสียงประชามติในทางที่ชอบธรรม ซึ่งยูเอ็นโอเอชซีเอชอาร์มีความห่วงใยและติดตามสถานการณ์กลุ่มชุมนุมต่างๆโดยส่งเจ้าหน้าที่สอบถามทหารและตำรวจระดับปฏิบัติการแต่คำตอบที่ได้คือ เจ้าหน้าที่ทำตามคำสั่ง ซึ่งอยู่ในสถานการณ์พิเศษ ทำให้ไทยไม่สามารถดำเนินการตามสัตยาบรรณได้
ขู่ยกระดับร้องยูเอ็นนครเจนีวา
ทั้งนี้ มีแนวทางหลัก 2แนวทาง คือการยกระดับการพูดคุยในประเด็นดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ไทยให้สูงขึ้นและยกระดับไปที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อความกดดันเจ้าหน้าที่ไทยอีกทางหนึ่ง พร้อมทั้งหาแนวทางให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยในระดับนโยบายมาพูดคุยกับนักวิชาการมากขึ้น ในลักษณะกิจกรรมแบบปิด โดยเน้นเรื่องเสรีภาพทางวิชาการ ความคิดเห็นและการลงประชามติ โดยจะมีการพูดกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพราะที่ผ่านมานักวิชาการไม่เคยได้มีโอกาสในการพูดคุย มีแต่การเรียกไปปรับทัศนคติ
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ออกมาประกาศเตือนกลุ่มต่อต้านและกลุ่มนักศึกษายุติการหยุดเคลื่อนไหวก่อกวน หรือต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญหรือโจมตีการทำงานของรัฐบาล โดยขู่ที่จะใช้กฏหมายทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อจัดการอย่างเฉียบขาดกับกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวช่วงนี้
‘นิพิฏฐ์’เชื่อไม่ล้มลงประชามติ
ด้าน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านรายการ“มองไกล”ว่า ผู้มีอำนาจอาจล้มการทำประชามติ ถ้าประชาชนไปใช้สิทธิสะท้อนผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มากกว่าความต้องการให้รับตามความมุ่งหวังของ คสช.โดย นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ตนยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่ คสช.จะทำเช่นนั้น เชื่อว่าการจะไม่มีประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7สิงหาคม มาจากกรณีเดียวก็คือ มีผู้ก่อความวุ่นวายจนต้องมาถึงจุดที่ล้มการทำประชามติ ต้องดูว่าเป็นฝ่ายไหนที่จะออกมาสร้างความวุ่นวาย
มั่นใจ’คสช.’เอาอยู่ก่อนลงมติ
นายนิพิฎฐ์ กล่าวต่อว่า เชื่อว่า คสช.คงจะคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้นความวุ่นวายในระดับที่ว่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น อีกทั้งประชาชนคงไม่ตกเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความวุ่นวายเพื่อล้มการทำประชามติ หาก นายจตุพร จะยกตัวอย่างกรณีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เคยคว่ำร่างรัฐธรรมนูญของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ มาเทียบกับตอนนี้เพื่อกล่าวหาว่า คสช.จะล้มการทำประชามตินั้น ตนขอเรียนว่า เป็นคนละเหตุผลกัน เพราะคราวนั้นเป็นอำนาจ สปช.ที่จะตัดสินว่า จะรับหรือไม่รับร่างแต่ตอนนี้เป็นเรื่องของประชาชนจะตัดสินว่า จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
ซัด’ตู่’มโนปลุกความหวาดกลัว
เมื่อถามถึงกรณี นายจตุพร บอกว่า อาจมีการโกงการทำประชามตินั้น นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า การโกงในประเทศไทยเป็นการโกงเพื่อให้ตัวเองได้ ไม่ใช่เพื่อให้สังคมอื่นได้ แต่ถ้าโกงทำประชามตินั้น ตนยังมองไม่เห็นว่า ใครจะไปโกง แล้วโกงได้อะไร ใครจะได้ประโยชน์ ถ้าหากกลัวว่าผู้มีอำนาจจะโกงเพื่อให้ประชามติเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน ตรงนี้ตนคิดว่า คงเป็นการกลัวที่ไร้สาระมาก เป็นการกลัวที่หาเรื่องและไม่มีเหตุผล หาก คสช.จะได้ประโยชน์ ตนคิดว่า น่าจะได้จากกรณีร่างไม่ผ่านประชามติมากกว่าผ่านประชามติ ขณะนี้ นายจตุพร กำลังพยายามสร้างกระแสความกลัวโดยไม่มีเหตุผลรองรับขึ้นมา
‘อ๋อย’ชี้ไม่มีใครก่อกวนลงมติ
ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กถึงการทำประชามติ มีใจความว่า เมื่อเนื้อหาพรบ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา7 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย ความหมายของประชามติตามพจนานุกรมคือ เผยแพร่โฆษณาให้แพร่หลาย แล้วทำไมบอกว่า ให้พูดได้แต่ในบ้าน ห้ามบอกว่ารับ ไม่รับ ทำไมต้องวอนกลุ่มต่อต้านอย่าก่อกวนการลงมติและไม่เห็นว่ามีใครจะก่อกวนการลงประชามติ มีแต่การก่อกวนการแสดงความเห็นไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ทำไมพูดเรื่องคนจะไปใช้สิทธิ์น้อย ให้แสดงความเห็นได้ฝ่ายเดียว คนเขาก็ไม่สนใจ แล้วจะไปใช้สิทธิ์มากได้อย่างไร
จี้กกต.แจงให้ชัดทำได้-ทำไม่ได้
ส่วนกรณีมี กกต.คนหนึ่งออกมาขู่จะเล่นงานเพจดังที่โฆษณาขายเสื้อรณรงค์ประชามติ ตนเห็นว่าแค่แนะนำก็พอและอยากเห็นกกต.ออกมายืนยันว่า เรื่องใดทำได้และอยากให้กรธ.ชี้แจงให้ชัดว่า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญผ่านแล้ว คำสั่ง คสช.ทั้งหลายก็ยังใช้ต่อไป แม้ขัดกับรัฐธรรมนูญบางมาตราหรือไม่ นอกจากนี้ทำไมผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างถูกเรียกว่า เป็นพวกต่อต้านการลงประชามติ ตกลงเขาให้ออกเสียงเห็นด้วยกับร่างฯได้อย่างเดียวหรือยังไง
ปชต.ใหม่โต้ขายเสื้อไม่ปลุกปั่น
นายรังสิมันต์ โรม แกนนำกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารพรรคการเมือง ออกมาระบุว่า มีเพจของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จำหน่ายเสื้อในลักษณะรณรงค์ทั่วไป เพื่อนำไปสู่การปลุกระดมทางการเมืองให้เกิดการออกเสียงประชามติ เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งอาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯว่า ปัญหาคือไม่ควรตีความถึงขั้นว่า การขายเสื้อเป็นความผิด เนื่องจาก พ.ร.บ.ประชามติฯเขียนอธิบายไว้อยู่แล้ว การใช้คำบนเสื้อที่เขียนว่า”โหวตโน ไม่รับกับอนาคตที่ไม่ได้เลือก” โดยถ้อยคำแล้วไม่ใช่การปลุกปั่นแน่ๆ ไม่ใช่ว่าคนเห็นข้อความนี้ปุ๊บแล้วต้องไปออกเสียงโหวตโนทันที มันตลก ถ้าตีความอย่างนั้นจะมีปัญหาว่าทำอะไรก็ยุยงปลุกปั่นทั้งหมด จะเป็นการดูที่ตัวคนทำไม่ได้ดูที่เนื้อหาจริงๆ อีกทั้งคนที่ตัดสินใจซื้อเสื้อนั้น ก็เป็นคนที่คิดอย่างเดียวกัน จึงไม่ได้เป็นการจูงใจ
‘ยืนยันว่า ไม่กังวลกับเรื่องดังกล่าว เพราะเราทำไปตามหลักการ ไม่มีประชามติที่ไหนพยายามจะไม่ให้รณรงค์เลย ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ก็คาดไว้อยู่แล้วว่า จะต้องเจอแบบนี้’
กรธ.ประเดิม’นครนายก’แจงร่าง
ส่วนความเคลื่อนไหวการเผยแพร่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยถึงการชี้แจงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก่ประชาชน ว่า หลังอบรมอาสาสมัครครูที่กระทรวงมหาดไทยคัดเลือกมาจังหวัดละ 5คน ในวันที่ 18-19พฤษภาคม จะเริ่มลงพื้นที่ต่างจังหวัดที่แบ่งเป็น 9กลุ่ม ซึ่งจังหวัดแรกที่จะมีการเปิดเวทีอย่างเป็นทางการในวันที่ 28พฤษภาคม ที่ จ.นครนายก โดยมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ร่วมชี้แจงด้วย ซึ่งไม่มีข้อวิตกกังวลใด ๆ นอกจากเป็นห่วงว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจได้มากที่สุดเพียงใดเท่านั้น
ยันไม่มีการชักนำ-แค่ขอชี้แจง
ด้าน นายอัชพร จารุจินดา กรธ.เปิดเผยถึงความพร้อมในการเผยแพร่เนื้อหาสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญว่า มีการทำเอกสารต่างๆพร้อมแล้วและเตรียมที่จะอบรมอาสาสมัครจากกระทรวงมหาดไทย ครู ก. ชุดแรก คัดเลือกจากระดับจังหวัด ในวันที่ 18-19พฤษภาคมนี้ จากนั้น จะขยายผลสู่ ครู ข.ที่คัดเลือกจากระดับอำเภอและครู ค.ที่จะคัดเลือกจากหมู่บ้านต่อไป ไม่ได้กังวลว่าจะเกิดความสับสน เพราะกรธ.จะคอยติดตามช่วยเหลือให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่องหวังว่าช่วงใกล้วันทำประชามติจะทำให้ประชาชนมีความสนใจและตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์มากขึ้น ยืนยันไม่มีการชี้นำ จะชี้แจงเฉพาะเนื้อหาว่า มีสาระอย่างไรบ้างเท่านั้น
กกต.ไฟเขียวความเห็นตามกรอบ
นายประวิช รัตนเพียร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงข้อท้วงติง ประกาศ กกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสดงความคิดเห็นในการออกเสียงประชามติไม่ชัดเจนว่า กกต.จะประกาศสิ่งใดออกมานั้น จะเกินไปกว่าที่พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กำหนดไว้ไม่ได้ พรบ.ดังกล่าวได้รองรับการแสดงความคิดเห็นและการเผยแพร่ความคิดเห็นของประชาชนอย่างเสรีภาพไว้ ดังนั้นบุคคลใดที่แสดงความคิดเห็น ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหรือสัมมนาทางวิชาการ สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่บนกติกาที่กฎหมายกำหนดไว้ คือ 1. ต้องเป็นเรื่องจริง 2.ใช้คำพูดสุภาพและ3.ต้องไม่ปลุกระดม ข่มขู่ หลักการทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กรอบของมาตรา7และมาตรา61 ของ พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี