ปรองดองแต่ไม่นิรโทษ
‘วิษณุ’ย้ำชัด
ทำผิดต้องถูกดำเนินคดี
คสช.ยันจำเป็นต้องบังคับใช้กม.
เพื่อสกัดกั้นป้องกันเหตุวุ่นวาย
บิ๊กตู่ขอบคุณบิ๊กจิ๋วที่สนับสนุน
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการสร้างความปรองดองของรัฐบาล หลังอดีตคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ที่มีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน เตรียมเสนอแนวทางปรองดองว่าในการสร้างความปรองดองรัฐบาลมีแนวทางของตัวเองอยู่แล้วโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พูดถึงแนวทางดังกล่าวมานาน แต่อาจยังไม่ลงรายละเอียด ในวิธีการซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ พูดมาโดยตลอดว่า รัฐบาลสนับสนุนให้ผู้กระทำความผิด เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ จากนั้นจึงค่อยว่ากันต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งวิธีการนี้มีความเป็นธรรม ไม่เหลื่อมล้ำ
รัฐไม่ปิดกั้นข้อเสนอทางออก
“รัฐบาลไม่ได้ปิดกั้น หากหลายฝ่ายจะเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองเข้ามาและ พล.อ.ประยุทธ์ก็หวังว่าสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)จะคิดวิธีการที่ดีเพื่อเสนอมายังรัฐบาล ส่วนที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านการเมือง สปท.เสนอแนวทางปรองดองโดยการออกกฎหมายรอการกำหนดโทษนั้นก็ไม่ผิดอะไรและถือเป็นการสนองนโยบายรัฐบาล แต่อาจจะมีความไม่เหมาะสมตรงที่ยังไม่ตกผลึกแล้วออกมาพูดจึงทำให้ถูกวิจารณ์ ซึ่งจากนี้อาจจะขยับต่อไปยากลำบากหน่อย แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจทำอย่างที่พูดทั้งหมดก็ตามแต่ก็เสียไปหมดทั้งรูปแล้ว แนวของนายเสรีที่บอกว่าถ้าให้ผู้มีคดีการเมืองรับสารภาพผิด ตรงนี้ถ้าอีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด เขาก็ต้องปฏิเสธการไปศาลเพื่อสารภาพ ถามว่าเสื้อแดงเขาต้องการไหมการปรองดอง เขาก็ต้องการ แต่ถ้าบอกว่าให้เขามาสารภาพแล้วรอการลงโทษ เขาก็จะบอกว่าแล้วมันเรื่องอะไร เพราะเขายืนยันตลอดว่าไม่ผิด” นายวิษณุ กล่าว
ย้ำชัดปรองดองแต่ไม่นิรโทษ
เมื่อถามว่าการปรองดองต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่ารัฐบาลย้ำเสมอว่าการปรองดองเป็นสิ่งที่ต้องทำ และรัฐบาลต้องทำ 3 อย่างคือ1.การบริหารราชการแผ่นดิน 2.ทำการปฏิรูปประเทศ และ3.ทำเรื่องปรองดอง แต่การปรองดอง ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการนิรโทษกรรม หรืออภัยโทษเสมอไป การปรองดอง มีหลายวิธีและจำเป็นต้องใช้หลายวิธีมารวมกันซึ่งการสร้างความเข้าใจต่อประชาชน การให้อภัย หรือ การเสนอกฎหมายต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น
“คำว่าปรองดอง ลองคิดว่า ถ้าคนเรามันไม่มีคดี ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไปนิรโทษกรรม ลองคิดถึงคนที่ไม่มีคดีแล้ว จะไปปรองดองด้วยยังไงดังนั้นจะเอาเรื่องนิรโทษกรรม หรืออภัยโทษมาบวกกับปรองดองไม่ได้การปรองดองกับนิรโทษกรรมอาจต้องคู่กันแต่ไม่จำเป็นต้องคู่กันเสมอไป เหมือนคนเราเวลาหิวก็ต้องกิน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกินข้าว เพราะสามารถกินอย่างอื่น อย่างแซนด์วิช ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว หรือดื่มน้ำก็ได้” นายวิษณุ กล่าว
เตือนแจงร่างฯถ้าชี้นำมีความผิด
นายวิษณุ ยังกล่าวถึงกระบวนการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญที่หน่วยงานต่างๆทั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ที่จะลงพื้นที่ชี้แจงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญว่าไม่ทราบว่าคณะเหล่านี้ จะไปชี้แจงกันที่ไหนอย่างไร จะพูดเรื่องอะไรกันบ้าง ในส่วนของรัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ก็ช่วยอยู่แล้วเนื่องจากมีการขอความร่วมมือมากที่สุด ที่จะลงไปได้ถึงระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน
“โดยคนที่ลงไปชี้แจง ก็เพื่อสื่อให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญ เขียนไว้ว่าอย่างไรมากกว่าที่จะไปชักชวนอะไร และ หากคนที่ไปชี้แจงไปชี้นำ ก็จะมีความผิดด้วย ดังนั้น ทุกคนก็จะต้องระมัดระวัง บางทีอาจจะมีปัญหา หรือไม่มีก็ได้”รองนายกฯ ย้ำ
เชื่อ2เดือนเพียงพอชี้แจงปชช.
รองนายกรัฐมนตรี ยังเชื่อว่าระยะเวลาจากนี้ จนถึงการทำประชามติ เหลืออีก 2 เดือน น่าจะเพียงพอต่อการชี้แจง แต่อาจจะช้าไปเพราะก่อนหน้านี้มัวแต่เตรียมเอกสาร เตรียมการพูดทำให้เสียเวลาไปบ้าง แต่เชื่อว่า ถ้าจะทำจริง ก็น่าจะทันเพราะเป็นเรื่องการชี้แจงที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาและเมื่อชี้แจงแล้วเข้าใจ ก็รู้แล้วว่า จะเอา หรือไม่เอา
ชี้’บัวแก้ว’แจงต่างชาติชัดท่าทีไทย
นายวิษณุ ยังกล่าวถึงกรณีนายเกลน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้หารือกับ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศระบุสหรัฐฯ กังวลกับการจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐานการจำกัดสิทธิการแสดงความคิดเห็น การชุมนุม และ การนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร พร้อมเรียกร้องให้ไทย ยอมให้มีการแสดงออกในเรื่องการเมืองอย่างเปิดเผย ว่าส่วนตัวไม่ได้ฟัง แต่ได้อ่าน และได้อ่านแล้ว ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ไม่มีความเห็น ถ้าจะมีความเห็น คือสิ่งที่นายดอนได้ชี้แจงไปนั้นคือท่าทีของรัฐบาล
ยึดตาม กม.ในภาวะปท.ไม่ปกติ
เมื่อถามว่ามองที่ผ่านมา การบังคับใช้กฎหมายของไทย ถือว่าค่อนข้างหนักอย่างที่มีการท้วงติงมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าจะอธิบายเรื่องนี้ ต้องตั้งต้นกันก่อนว่า สิ่งที่เราไม่ปฏิเสธและปฏิเสธไม่ได้ คือ มีการยึดอำนาจ ถ้าจะผิดหรือ ถูกก็ต้องไปตั้งต้นตั้งแต่วันที่มีการยึดอำนาจ พอยึดอำนาจแล้ว ผู้ที่ยึดอำนาจ ก็ต้องพยายามทำอะไรก็ตามให้สมกับเหตุผลว่าเหตุใด จึงต้องเข้ายึดอำนาจเข้ามาคลี่คลายอะไร ลบล้างอะไร และแก้ปัญหาอะไรและต้องดำเนินการต่อไป จนถึงวันนี้ การดำเนินการ ยังไม่เสร็จสิ้น แม้ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์หรือหัวหน้า คสช.จะหมดไปและจะลดอำนาจลงแล้ว เมื่อมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นมา แต่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ คือ คำสั่ง คสช.ก็ได้ปฏิบัติไปตามนั้น ไม่ได้ทำอะไรที่นอกกฎหมาย สิ่งที่พยายามจะพูดคือบ้านเมืองไทยไม่ได้อยู่ในภาวะปกติจะเอามาตรฐานของประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนปกติขึ้นมาเรียกร้องกับรัฐบาลซึ่งรัฐบาลไม่มีสิทธิไปเถียง พราะยึดอำนาจมา ทุกอย่าง จะให้เหมือน 5 ถึง 10 ปีที่มีสภาฯได้อย่างไร
ส่วนท่าทีของต่างชาติที่มีต่อไทยถือว่า เป็นท่าทีที่ปกติหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่าถือว่าปกติ ส่วนที่เราต้องชี้แจงสมาชิกยูเอ็นที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่11พฤษภาคม เป็นการชี้แจงตามวงรอบ4 ปีครั้งจึงมีคำถามที่เยอะ เพราะ4 ปีที่ผ่านมา เราอยู่มาแล้ว 2 ปี มีรัฐบาลอื่นมาแล้ว2 ปีจึงมีอะไรที่หนักหน่อย มีการยึดอำนาจมา จะใช้มาตรฐานประชาธิปไตยมาวัดไม่ได้แต่เราจะไปเถียงว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ไม่ได้ เพราะไม่เป็นวงรอบต่อไป ที่ต้องชี้แจง คือในปี2563 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเราจะเป็นอย่างที่เป็นเหมือนทุกวันนี้ ไม่ได้ ก็จะต้องอธิบายไปอีกแบบ ถ้าจะแก้ตัวอย่างไร ก็ต้องไปแก้กันอีกแบบ แต่วันนี้ เมื่อยึดอำนาจมาก็ต้องทำแบบนี้
คสช.แจงจำเป็นบังคับใช้ กม.
แหล่งข่าวคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการนำเสนอรายงานการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย (ยูพีอาร์) รอบ 2 ของไทยที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ว่าทางคสช.ก็จะขอชี้แจง และยึดแนวทางการอธิบายตามกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้มิตรประเทศเขาเข้าใจ ทั้งนี้ เรายังมีเหตุผลและความจำเป็นใจการบังคับใช้กฎหมายอยู่และขอยืนยันได้ว่าไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยนชนแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนตามหลักกฎหมาย
ยันไม่ได้กลั่นแกล้ง/ละเมิดสิทธิ
ส่วนมาตรการทำความเข้าใจกับคนเห็นต่างนั้นต้องขอชี้แจงว่าหากใครกระทำผิดกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกระบวนการกฎหมายเท่านั้นเอง ขอยืนยันว่าคสช.ไม่ได้ไปกลั่นแกล้ง หรือละเมิดสิทธิ์ใดๆเลย ขณะที่ข้อเสนอแนะหรือข้อห่วงใยนานาชาตินั้นทาง คสช.จะนำมาแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เราก็ต้องเคารพกติกาที่ลงสัตยาบันไว้ซึ่งอะไรที่เราทำไม่สมบูรณ์ เราก็ต้องแก้ไข และพัฒนาไปตามแนวทางที่เขาเสนอแนะมาแต่อะไรที่เป็นข้อคิดเห็นทวงติง เราก็พร้อมรับฟังเสมอ
ย้ำต้องบังคับใช้กม.สกัดวุ่นวาย
อีกทั้ง ส่วนประเด็นมาตรการทำความเข้าใจกับคนเห็นต่างที่นานาชาติมีท่าทีกังวลนั้น ทาง คสช.ต้องชี้แจงว่า ในห้วงเวลานี้ บ้านเมืองเราต้องการความสงบสุขเป็นเรื่องหลักเพื่อเอื้ออำนวยให้รัฐบาลและคสช.สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเรียบร้อย สม่ำเสมอทั้งยังป้องกันความวุ่นวายในบ้านเมือง ดังนั้นเราต้องขอชี้แจงต่อนานาชาติว่ามาตรการที่เราบังคับใช้อยู่เวลานี้จะมีกรอบเวลาแค่ปีกว่าเองฉะนั้น ยังคงมีความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งตามกรอบโรดแมปคสช.
‘อาทิตย์’แนะไล่ฑูตสหรัฐฯกลับมะกัน
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตและอดีตประธานรัฐสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก“Arthit Ourairat”โดยได้แชร์บทความของ“เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง”ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า เมื่อวันที่30 พฤศจิกายน 2558 ‘ไทยเป็นเอกราช มิใช่ประเทศราช :อัปรีย์ไป จัญไรมา?’ที่วิพากษ์วิจารณ์มารยาท นักการทูตคือเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย นาย กลิน เดวีส์ ที่มารับตำแหน่งใหม่แทนนางคริสตี้ เอ เคนนีโดยดร.อาทิตย์ระบุว่าเอกอัครราชทูตคือผู้แทนจากประมุขของรัฐ ต่อประมุขของรัฐ โดยเฉพาะไทยเรา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งประเทศไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็เป็นประเทศที่มีอธิปไตยและมีศักดิ์ศรีทัดเทียมกัน ประเทศไทย ในฐานะที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ดีงามมาก่อนสหรัฐ เราต้องสอนอเมริกาได้
“การส่งคนไม่มีมารยาทมาเป็นทูต ถือว่าดูถูกเรา การที่อเมริกาส่งคนไม่มีมารยาทมาเป็นทูต ถือว่าถือว่าดูถูกเรา ไม่ให้เกียรติประเทศไทย ดังนั้น ประเทศไทย ควรตอบโต้โดยแจ้งว่าเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ Persona Non Grata ให้อเมริกาเอาตัวกลับประเทศ”
มีชัยร่วมลงพื้นที่/ไม่ห่วงคนต้าน
นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)ยืนยันว่า กรธ.จะพยายามลงพื้นที่ให้มากที่สุดโดยมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)และสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)ช่วยลงพื้นที่ชี้แจงคำถามพ่วงประชามติด้วยโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.มีกำหนดการลงพื้นที่ร่วมชี้แจงร่างฯด้วยตนเองในหลายจังหวัดซึ่ง ไม่รู้สึกห่วงการลงพื้นที่ใด เป็นพิเศษเนื่องจากมีฝ่ายความมั่นคง ช่วยดูแลอยู่และเชื่อว่าหากทุกคนเคารพกฎกติกาจะไม่เกิดปัญหาขึ้นโดย กรธ.จะดำเนินการตามกฎกติกาเช่นกันโดยไม่ชี้นำให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
โฆษก กรธ.กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการอบรมครู ก.ที่จะมีขึ้นในวันที่18–19พฤษภาคมนี้ว่า กรธ.มีความพร้อมแล้วโดยรูปแบบการอบรมวันแรก จะเป็นการบรรยาย โดยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านเช่นสิทธิเสรีภาพ หน้าที่ของประชาชน หน้าที่ของรัฐ การเมือง เรื่องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระและการปกครองส่วนท้องถิ่น ในรูปแบบโสตศึกษา ที่สามารถใช้อบรม ครู ข.และ ครู ค.ได้ ส่วนวันที่สอง เป็นการตอบประเด็นข้อซักถามต่างๆ ในลักษณะของการแบ่งกลุ่ม
ทหารพร้อมดูแลกรธ.-กกต.ลงแจง
ด้าน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลความปลอดภัยแก่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ที่จะลงพื้นที่ทำความเข้าใจร่างรัฐธรรมนูญและข้อกฎหมายว่าด้วยการทำประชามติว่าในส่วนของหน่วยงานความมั่นคง มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในทุกพื้นที่ซึ่งทางกรธ.และกกต.จะประสานตารางการปฏิบัติงานผ่านมายังผู้ว่าราชการจังหวัด จากนั้น ผู้ว่าฯ จะแจ้งที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งจะมีตำรวจ ทหารร่วมอยู่ด้วย การดูแลความปลอดภัยจะเริ่มตั้งแต่ก่อนเข้าพื้นที่ ลงพื้นที่และเดินทางกลับ เพื่อให้การปฏิบัติงานของทั้ง 2 หน่วยเกิดความสะดวกและเรียบร้อยตามความเหมาะสม
ไม่พบสัญญาณต้าน-ยันไม่ประมาท
โฆษก คสช.ยังยืนยันว่าว่าขณะนี้การข่าวยังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต้าน หรือกลุ่มที่เห็นต่างทางการเมือง ทั้งหมดยังอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)ในฐานะเลขาธิการ คสช.ได้สั่งการผ่านแม่ทัพภาค กำชับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย(กกล.รส.) กองทัพภาคดูความสงบเรียบร้อยโดยให้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดที่ กรธ. และกกต.จะลงพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เนื่องมาจากความร่วมมือของประชาชนและทุกภาคส่วน แต่งานการข่าวก็ยังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
โพลชี้ปรองดองรัฐบาล’ลุงตู่’เกิดยาก
วันเดียวกันสวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ1,138 คนในเรื่อง”การปรองดองของคนไทยทำไมจึงยาก”ระหว่างวันที่9-13 พฤษภาคมพบว่าร้อยละ45.52เชื่อว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นยากในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเพราะสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ดีขึ้น มีการทะเลาะเบาะแว้ง ใส่ร้ายโจมตีไม่เปิดใจยอมรับ มีเพียงร้อยละ33.21ที่เชื่อว่าจะสำเร็จ เพราะประชาชนตื่นตัวให้ความร่วมมือมากขึ้น อยากเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในสังคม เพื่อความเจริญก้าวหน้า และความสงบสุขของบ้านเมือง
สาเหตุมีฐิติอคติ แนะให้อภัยกัน
นอกจากนี้ ประชาชนร้อยละ 85.06 มองว่าสาเหตุที่ทำให้การปรองดองเกิดยาก มาจากเกิดจากทิฐิ อคติ ไม่รับฟังความเห็นผู้อื่น,ร้อยละ77.15คนเห็นแก่ตัวมุ่งหวังแต่อำนาจและผลประโยชน์, ร้อยละ71.65ได้รับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนไม่รู้ข้อเท็จจริง อีกทั้งพบประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 79.35เห็นว่า การแก้ไขความขัดแย้งแตกแยก เพื่อให้เกิดความปรองดอง ต้องรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ให้อภัย ลดทิฐิ เห็นแก่บ้านเมือง,ร้อยละ68.37 บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจริงจัง กฎหมายต้องเป็นธรรม มีมาตรฐานเดียวกัน,ร้อยละ67.40 ต้องปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับคนไทย จัดกิจกรรมเสริมสร้างความปรองดอง
สปท.พร้อมร่วมลงพื้นที่ 9 กลุ่ม
ที่รัฐสภานายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)คนที่ 1 กล่าวถึงการอบรมบรรดาอาสมัครของ สนช.กับ สปท.การลงพื้นที่ชี้แจง คำถามพ่วง 9 กลุ่มจังหวัด และกทม.ว่าสปท.พร้อมให้ความร่วมมือ ขณะนี้ได้จัดส่งอาสาสมัครไปร่วมกิจกรรมของ สนช.ในการชี้แจงคำถามพ่วงประชามติแล้ว จะยึดหลักกรอบกฎหมายของกกต.) จะไม่มีการชี้นำให้ขัดต่อกฎหมาย ตามที่ กกต.กำหนด ส่วนของการชี้แจงส่วนคำพ่วงตนไม่มีความเป็นห่วงเพราะเป็นคำถามง่ายๆสามารถทำความเข้าใจได้ จึงไม่มีความกังวล และคิดว่าบรรดานักการเมือง กลุ่มการเมือง และเอ็นจีโอก็สามารถช่วยทำความเข้าใจในข้อมูลที่เท็จจริง ซึ่งเวลาที่เหลือในการทำความเข้าใจกับประชาชน อาจจะน้อยไป เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว ก็ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด
นายกฯขอบคุณ’บิ๊กจิ๋ว’ให้กำลังใจ
ขณะที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ฝากขอบคุณพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ให้กำลังใจรัฐบาลในการทำหน้าที่ รวมถึงให้ข้อเสนอต่อการบริหารบ้านเมืองในฐานะอดีตนายกฯและนายทหารรุ่นพี่ และเชื่อว่าหากภายในประเทศมีความสมัครสมานสามัคคี เชื่อใจ ให้กำลังใจและร่วมไม้ร่วมมือกัน อย่างจริงใจ จะทำให้นานาชาติเพิ่มความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยยิ่งขึ้น เป็นผลดีต่อประเทศโดยรวม
ท่านนับถือรุ่นพี่ทุกคน-ปกป้องรัฐ
“นายกฯรับฟังทุกความเห็น ไม่ว่าจะมาจากบุคคลหรือ องค์กรใดที่หวังดีต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะหากเป็นความเห็นจากนายทหารรุ่นพี่และอดีตผู้บัญชาบัญชาทุกท่าน ท่านนายกฯให้เกียรติและนับถือทุกท่านด้วยความจริงใจเสมอมา ท่านนายกฯก็ไม่เคยกล่าวร้ายให้ใครเสียหาย หรือเสื่อมเสีย แต่เมื่อมาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ท่านต้องมีบทบาทในฐานะผู้นำและต้องปกป้องศักดิ์ศรีรัฐบาล ดังนั้น หากมีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ทำให้เข้าใจรัฐบาลผิด ท่านนายกฯก็จำเป็นต้องชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา เพราะมีผลต่อความเชื่อมั่นในภาพรวมของประเทศ”
ส่วนกรณีที่คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ กล่าวทีเล่นทีจริงว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่นับถือ พล.อ.ชวลิต โฆษกรัฐบาล กล่าวว่าวิสัยทหารจะใช้การกระทำและความจริงใจ เป็นเครื่องพิสูจน์ ความเคารพและการให้เกียรติ มากกว่าเพียงการพูดที่ฟังดูดีหรือการแสดงท่าทางนอบน้อม ถือเป็นแบบธรรมเนียมที่ทหารทุกคน ยึดถือปฏิบัติ และทหารด้วยกันเข้าใจกันดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี