11 ก.ย.59 นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงปัญหาการทุจริตโครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ของ กทม.ว่า สำนักเทศกิจของ กทม.ออกทีโออาร์ซื้อเรือ 3 ลำ คือ ลำที่ 1 เป็นเรือตรวจการณ์ไฟเบอร์กลาส ความยาว 38 ฟุต ขนาดเครื่อง 250 แรงม้า ราคา 6.5 ล้าน ลำที่ 2 ขนาดความยาว 45 ฟุต 300 แรงม้า ราคา 11 ล้าน ลำที่ 3 เป็นเรือตรวจการณ์เอนกประสงค์ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 450 แรงม้า ราคา 26.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรืองที่ตนจะเจาะลึกว่ามีการฮั้วกันอย่างไร โดยเริ่มต้นจากการเขียนสเป็คเอื้อประโยชน์ มีวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำ ทั้งที่ไม่มีเครื่องช่วย และติดกระจกรอบลำ ดูแล้วน่าจะเป็นเรือชมวิวมากกว่า โดยจากการตรวจสอบพบว่า เรือที่มีราคาแพงที่สุดกลับมีการกำหนดทีโออาร์ที่ต่ำกว่าเรือที่ราคาถูกกว่า เช่น ในทีโออาร์ของ 2 ลำ ที่ถูก มีการระบุว่าต้องมีประสบการณ์ต่อเรือไม่น้อยกว่าสิบปี แต่ลำที่แพงที่สุดกลับไม่มีข้อนี้
"การต่อเรือก็ผิดสัญญา เพราะไม่ใช่เรือสำเร็จรูปจากโรงงานภายในหรือต่างประเทศ แต่ไปต่อเรือที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเรือ ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา และมีการรับมอบเรือแล้ว แต่วิ่งจากอู่ต่อเรือจากแม่น้ำลพบุรีเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างทางเกิดไฟไหม้ ต้องลากกลับไปที่อู่ต่อเรือ ซึ่งยังจอดอยู่จนถึงทุกวันนี้เกือบ 1 ปีแล้ว สภาพเรือพบว่าหลังคาเริ่มรั่ว มีการนำซิลิโคลนไปยาเอาไว้ แม้แต่ป้ายชื่อเทศกิจ กทม.ก็เริ่มร่อน อีกทั้งมีสนิมขึ้น และยังมีการถอดเครื่องเรือไปโอเวอร์ฮอลล์ที่อู่มหาชัย จึงมีคำถามว่าเหตุใดเรือใหม่จึงเกิดไฟไหม้ ในขณะที่จะหมดประกันภายในเดือน ก.ย.นี้ แต่ทราบมาว่าหลังจากตนเปิดประเด็นไปมีการขยายระยะเวลาประกันให้อีก 1 ปี ชัดเจนว่ามีการออกสเป็คอ่อนเมื่อเทียบกับเรืออีก 2 ลำ ที่ราคาถูกกว่า ในเรือมีตู้เย็น ทีวี เคาท์เตอร์บาร์ มีลำโพง ไมโครโฟน ไม่รู้ว่าเอาไว้ร้องคาราโอเกะหรือไม่ แต่ไม่เห็นมีอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำแต่อย่างใด" นายวิลาศ กล่าว
ทั้งนี้ นายวิลาศ กล่าวด้วยว่า นอกจากกำหนดสเป็คอ่อนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนแล้ว ยังพบความเชื่อมโยงที่น่าจะส่อว่าเป็นการฮั้วประมูล ตั้งแต่การเสนอราคากลาง ซึ่งมีบริษัทเอกชน 5 ราย โดยพบว่า มีอย่างน้อย 2 บริษัท เป็นบริษัทลูกของบริษัท ริเวอร์เอ็นจิเนียริ่ง ที่ได้งาน กทม.มาอย่างต่อเนื่อง และเจ้าของบริษัทดังกล่าวคือบิดาของเจ้าของบริษัท แกรนด์ไลน์อินโนเวชั่น ที่ได้รับงานต่อเรือลำละ 26.5 ล้านบาท สำหรับ 2 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ริเวอร์เอ็นจิเนียริ่ง ที่เป็นบริษัทคู่เทียบคือ บริษัท วาสติเอ็นจิเนีย จำกัด มีผู้จัดการชื่อ น.ส.พลอยชนก ปานจับ โดยเอกสารที่ออกจากบริษัทนี้ออกจากบริษั ทริเวอร์ ทั้งหมด และห้างหุ้นส่วนจำกัด เอสทีการช่าง มีหุ้นส่วนที่มีอำนาจลงนามคือ หลานของผู้บริหารบริษัท ริเวอร์เอ็นจิเนียริ่ง ทั้งนี้จากพฤติกรรมจัดซื้อจัดจ้าง การกำหนดราคากลาง การหาคู่เทียบ ล้วนมีปัญหาและผิดกติกา จึงต้องเล่นงานยกเข่ง เพราะดูเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อแปจะทำอะไรก็ได้ เรือลำละ 26.5 ล้าน จอดไว้เฉยๆ ทั้งที่ควรกระวีกระวาดนำมาใช้ เหมือนได้อะไรสมประโยชน์แล้วก็จอดทิ้งไว้ เพราะไม่หวังเอามาใช้ แต่หวังได้อย่างอื่นตอบแทนใช่หรือไม่ นี่เป็นเรือชุดอุ่นเครื่อง แต่ยังมีเรืออีกชุด 3 ร้อยกว่าล้าน ที่จะนำมาเปิดเผยต่อไป โดยจะได้ส่งเรื่องเรือตรวจการณ์ที่มีปัญหาให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวันพุธหน้า (14 ก.ย.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี