9 ม.ค.61 ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ รวม 2 ฉบับ เป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบไฟฟ้า สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการขนส่งมวลชน ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎฺร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตจอมทอง เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน รวมทั้งเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพ ลักษณะและการเข้าใช้ประโยชน์ บน เหนือ หรือใต้ พื้นดินหรือพื้นน้ำ เพื่อการวางแผนหรือออกแบบกิจการขนส่งมวลชน เพื่ออำนวยความสะดวกความรวดเร็วแก่การจราจร และการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 แล้ว ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบหนังสือสำคัญ และอัตราค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือสำคัญประจำตัวคนประจำเรือ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบหนังสือสำคัญ และอัตราค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือสำคัญประจำตัวคนประจำเรือ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดประเภทของหนังสือสำคัญประจำตัวคนประจำเรือ ได้แก่ หนังสือคนประจำเรือสำหรับผู้ทำการหรือจะลงทำการในเรือเดินทะเล หนังสือคนประจำเรือประมงสำหรับผู้ทำการหรือจะลงทำการในเรือประมง และหนังสือแสดงตนคนประจำเรือสำหรับผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งออกพร้อมกับหนังสือคนประจำเรือหรือหนังสือคนประจำเรือประมง โดยให้หนังสือดังกล่าวมีอายุไม่เกิน 5 ปี
2. กำหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะขอรับหนังสือสำคัญประจำตัวคนประจำเรือในแต่ละประเภท ดังนี้ (1) ผู้ขอรับหนังสือคนประจำเรือ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีบริบูรณ์ (2) ผู้ขอรับหนังสือคนประจำเรือประมง ต้องมีสัญชาติไทยและอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ มีใบรับรองแพทย์ว่าสุขภาพแข็งแรง และคุณสมบัติอื่นตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกำหนด
3. กำหนดวิธีการยื่นคำขอ อัตราค่าธรรมเนียม และขั้นตอนการออกหนังสือสำคัญประจำตัวคนประจำเรือ
4. กำหนดให้ยกเลิก เพิกถอน และเรียกคืน ตลอดจนการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหนังสือสำคัญประจำตัวคนประจำเรือ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กษ. เสนอว่า
1. โดยที่ความในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ได้กำหนดนิยามคำว่า “ทะเลชายฝั่ง” หมายความว่า ทะเลที่อยู่ในราชอาณาจักรนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปสามไมล์ทะเล เว้นแต่ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ จะออกกฎกระทรวงกำหนดให้เขตทะเลชายฝั่งในบริเวณใดมีระยะนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปน้อยหรือมากกว่าสามไมล์ทะเลก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งจุดห้าไมล์ทะเล และไม่เกินสิบสองไมล์ทะเล
2. คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดชุมพรและจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีมติให้มีการกำหนดเขตทะเลชายฝั่งของจังหวัดชุมพรและจังหวัดนครศรีธรรมราชมีระยะนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปน้อยหรือมากกว่าสามไมล์ทะเลได้ ซึ่ง กษ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์ในการกำหนดมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลชายฝั่งของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดชุมพรและจังหวัดนครศรีธรรมราช และเพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายตามเจตนารมณ์แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวด้วย จึงควรกำหนดให้เขตทะเลชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดนครศรีธรรมราช มีระยะนับจากแนวเขตทะเลชายฝั่งออกไปน้อยหรือมากกว่าสามไมล์ทะเลได้ ดังนี้
2.1 จังหวัดชุมพร ให้มีเขตทะเลชายฝั่ง ดังนี้
1) อำเภอเมืองชุมพร ระยะหนึ่งจุดหกไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง
2) อำเภอปะทิว ระยะหนึ่งจุดหกไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง
3) อำเภอสวี ระยะสองจุดสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง
4) อำเภอทุ่งตะโก ระยะสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง
5) อำเภอหลังสวน ระยะสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง
6) อำเภอละแม ระยะสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง
7) ในส่วนของเกาะในเขตจังหวัดชุมพรกำหนดเขตทะเลชายฝั่งหนึ่งจุดห้าไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ
2.2 จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้มีเขตทะเลชายฝั่ง ระยะสามจุดห้าไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง และระยะหนึ่งจุดห้าไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้เขตทะเลชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดนครศรีธรรมราชมีระยะนับจากแนวเขตชายฝั่งทะเลออกไปน้อยหรือมากกว่าสามไมล์ทะเลได้
4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระบัญญัติ
1. กำหนดทรัพย์อิงสิทธิ หมายความว่า การที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่มีโฉนด และเจ้าของห้องชุด บุคคลหนึ่ง เรียกว่า ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ มีสิทธิใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์นั้น และมีหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ โดยผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิตกลงจ่ายค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์นั้นให้แก่ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ
2. กำหนดให้ผู้ใช้ทรัพย์อิงสิทธิ ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิและผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยมีกำหนดระยะเวลาการให้ทรัพย์อิงสิทธิไม่เกิน 30 ปี
3. กำหนดให้เมื่อมีการจดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ โดยทำเป็นคู่ฉบับสามฉบับ ซึ่งการออกแบบหนังสือรับรองนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
4. กำหนดสิทธิของผู้ให้ใช้ทรัพย์อิงสิทธิไว้ ดังนี้
4.1 ผู้ใช้ทรัพย์อิงสิทธิสามารถนำทรัพย์อิงสิทธิออกให้เช่า ขาย โอน หรือ
ตกทอดแก่ทายาทได้ และนำไปใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ได้โดยการจำนอง
4.2 ผู้ใช้ทรัพย์อิงสิทธิสามารถดัดแปลง ต่อเติม ปลูกโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างได้ โดยมิจำต้องได้รับอนุญาตจากผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ เว้นแต่จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา และเมื่อสัญญาได้เลิกหรือระงับลง ให้ทรัพย์ซึ่งผู้ใช้ทรัพย์อิงสิทธิได้ทำการดัดแปลง ต่อเติม หรือปลูกสร้างไว้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ เว้นแต่จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา
5. กำหนดหน้าที่ของผู้ใช้ทรัพย์อิงสิทธิในกรณีต้องจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อปัดป้องภยันตรายแก่อสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์อิงสิทธิ หรือกรณีบุคคลภายนอกรุกล้ำเข้ามาในอสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์อิงสิทธิ หรือเรียกร้องสิทธิ อย่างใดอย่างหนึ่งเหนืออสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์อิงสิทธินั้น ให้ผู้ใช้ทรัพย์อิงสิทธิเป็นผู้มีหน้าที่จัดการและให้แจ้งเหตุให้ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิทราบโดยพลัน
6. กำหนดให้นำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายที่ดินในหมวด 4 การออกหนังสือแสดงสิทธิ ในที่ดิน และหมวดที่ 6 การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
7. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามกฎหมายเนื่องจากการจดทะเบียนและการออกหนังสือรับรอง ผู้ในความรับผิดชอบของกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้ค่าธรรมเนียมรายปีอันเกิดจากการออกใบรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงอุตสาหกรรม
เศรษฐกิจ- สังคม
6. เรื่อง การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนสิ่งแวดล้อม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งกองทุน 3 กองทุน (กองทุนสิ่งแวดล้อม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม) ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 และครั้งที่ 6/2560 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
สำหรับกองทุนสิ่งแวดล้อมให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ต่อไป ส่วนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและกองทุนประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการคลัง (สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
วัตถุประสงค์ 3 กองทุน มีดังนี้
1. กองทุนสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินอุดหนุนหรือให้กู้ยืมในการจัดระบบบำบัดหรือกำจัดมลพิษ หรือดำเนินการในกรณีฉุกเฉิน หรือภยันตรายต่อสาธารณชนอันเนื่องมาจากภาวะมลพิษที่เกิดจากการรั่วไหลหรือการแพร่กระจายของมลพิษรวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนในการเข้ามามีส่วนร่วมป้องกันและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
2. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา เสริมสร้างและพัฒนคุณภาพและประสิทธิภาพครูและอาจารย์ และพัฒนามนุษย์ให้มีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม รวมทั้งสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง
3. กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพและพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมอย่างครบวงจรสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับฐานราก ตลอดจนเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการโครงการเพื่อสังคมและช่วยเหลือคนในชุมชนท้องถิ่นให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
7. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก
ปีการผลิต 2558/59 และปีการผลิต 2559/60
คณะรัฐมนตรีพิจารณางบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อกตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบจัดสรรงบประมาณการดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว
ในการเก็บสต๊อกตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยฯ ได้ตรวจสอบและอนุมัติเงินชดเชยดอกเบี้ยแล้ว จำนวนรวมทั้งสิ้น 107.25 ล้านบาท จำแนกได้ ดังนี้
1.1 ปีการผลิต 2558/59 จำนวน 39.55 ล้านบาท
1.2 ปีการผลิต 2559/60 จำนวน 67.70 ล้านบาท
โดยขอปรับแผนการใช้เงินงบประมาณจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกรมการค้าภายใน
2. เห็นชอบให้ พณ. โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยฯ ดำเนินการตามขั้นตอนการตรวจสอบและอนุมัติเงินชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ปีการผลิต 2559/60 ให้แล้วเสร็จ และขอรับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่คงเหลือของกรมการค้าภายในก่อนเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2561 ตามระเบียบต่อไป และมอบหมายสำนักงบประมาณ (สปง.) เตรียมการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2561 ให้ด้วย
ทั้งนี้ ให้ พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่า
1. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก ปีการผลิต 2558/59 และปีการผลิต 2559/60 ผู้เข้าร่วมโครงการได้ดำเนินการกู้ยืมเงินซื้อข้าวเปลือกเก็บสต๊อกตามหลักเกณฑ์โครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 และพฤศจิกายน 2559 ตามลำดับ โดยผู้เข้าร่วมโครงการต้องชำระดอกเบี้ยปกติของธนาคารและยื่นขอรับชดเชยดอกเบี้ย โดยผ่านการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการระดับจังหวัด และคณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยแต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
2. โครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ ปีการผลิต 2558/59
คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยฯ พิจารณาอนุมัติเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ตามหลักเกณฑ์แล้วทั้งหมด จำนวนผู้ประกอบการ 230 ราย ใน 40 จังหวัด มูลค่ารวมทั้งสิ้น 368.34 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ย จำนวน 39.55 ล้านบาท
3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ ปีการผลิต 2559/60
3.1 คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยฯ พิจารณาอนุมัติเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโคงการฯ ตามหลักเกณฑ์แล้ว จำนวนผู้ประกอบการ 43 ราย ใน 13 จังหวัด มูลค่ารวมทั้งสิ้น 67.70 ล้านบาท
3.2 คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยฯ มีมติเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 รับทราบรายงานความคืบหน้าการขอรับเงินชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ปีการผลิต 2559/60 ว่าขณะนี้คณะอนุกรรมการระดับจังหวัดได้พิจารณาตรวจสอบและรับรองการขอรับเงินชดเชยดอกเบี้ยแล้ว มูลค่าขอรับเงินชดเชยดอกเบี้ย 282.40 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบของคณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ย และคณะอนุกรรมการระดับจังหวัด เนื่องจากระยะเวลาโครงการฯ นาปรัง 2560 ยังไม่สิ้นสุด
8. เรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักการแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง ๆ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
พัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง ๆ ) โดยอนุมัติให้หลักสูตรนักปกครองระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป สามารถกำหนดสัดส่วนผู้เข้ารับการอบรมซึ่งเป็นบุคลากรภาครัฐจากหน่วยงานภายนอกสังกัดกระทรวงมหาดไทยได้จำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมด
โดยควรพิจารณาบุคลากรของส่วนราชการที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและเป็นส่วนราชการที่บูรณาการพัฒนาพื้นที่และแก้ไขปัญหาในพื้นที่เป็นสำคัญอย่างชัดเจน โดยจัดลำดับความสำคัญของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ตามลำดับของหุ้นส่วนการพัฒนาเชิงพื้นที่เป็นลำดับแรก และพิจารณาบุคลากรของส่วนราชการที่ไม่มีหลักสูตรนักบริหารระดับสูงภายในหน่วยงานตนเองเป็นลำดับต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. ได้ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 (เรื่อง การพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง ๆ) โดยหลักสูตรใกอบรมนักบริหารระดับสูง (นปส.) ของ มท. ได้ดำเนินการตามกรอบมาตรฐานหลักสูตรนักบริหารระดับสูงที่สำนักงาน ก.พ. กำหนดอย่างครบถ้วน เคร่งครัด และได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.พ. ให้เป็นหลักสูตรที่ผู้ผ่านการฝีกอบรมเป็นผู้มีคุณสมบัติเสมือนได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูงของสำนักงาน ก.พ. ด้วย ดังนั้น มท. จึงขออนุมัติให้หลักสูตร นปส. ของ มท. ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป สามารถกำหนดสัดส่วนผู้เข้ารับการอบรมซึ่งเป็นบุคลากรภาครัฐจากหน่วยงานภายนอกสังกัดกระทรวงมหาดไทยได้จำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมด ซึ่งการเพิ่มสัดส่วนของบุคลากรภาครัฐภายนอกสังกัด มท. จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภารกิจของสำนักงาน ก.พ. ในการพัฒนานักบริหาร/นักปกครองระดับสูงอีกทางหนึ่ง รวมทั้งเป็นการช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และบูรณาการงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกันภัย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณามาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกันภัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญเรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกันภัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีดังนี้
1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับผู้เอาเบี้ยประกันภัยโดยให้มีตัวแทนกึ่งหนึ่งมาจากภาคีผู้บริโภคเพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. จัดทำชุดประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัย รวมถึงการส่งเสริมความรู้ของตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิตและประกันวินาศภัยโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่อให้เข้าถึงประชาชนระดับรากหญ้า
3. ส่งเสริมบทบาทของศูนย์บริการด้านการประกันภัย ซึ่งเป็นความร่วมมือของบริษัทประกันภัยและสำนักงาน คปภ. ให้สามารถจัดการเรื่องร้องเรียนให้ยุติได้โดยเร็ว
4. บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยให้เปิดเผยข้อมูลที่กฎหมายกำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องปฏิบัติตาม นอกจากนี้ยังให้มีการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทประกันภัยที่ถูกร้องเรียน สถิติ และประเด็นเรื่องร้องเรียนที่ได้มีการตัดสินแล้วทั้งโดยศาลหรือโดย คปภ.
5. แก้ไขพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. 2550 โดยให้มีตัวแทนจากภาคประชาสังคมที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 2 คน เข้าร่วมด้วย
6. ให้ สคบ. ทำหน้าที่เป็นศูนย์รับเรื่องร้องเรียนแบบเบ็ดเสร็จก่อนส่งเรื่องร้องเรียนด้านประกันภัยไปยัง คปภ. เพื่อดำเนินการโดยให้ติดตามความคืบหน้าของเรื่องร้องเรียนเพื่อให้บริการแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการและนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและประชาชน 3 มาตรการ ได้แก่ 1) การเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นสำหรับผู้ประสบภัยจากรถด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ 2) การจัดทำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการโฆษณาเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านสื่อโฆษณา และ 3) การกำกับดูแลการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย
10. เรื่อง มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแต่ละโครงการ
(คนส.) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำจังหวัด (คอจ.) หรือ “ทีมหมอประชารัฐสุขใจ” รวมทั้งเห็นชอบในหลักการของการแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ (ทีม ปรจ.)
เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กค. โดยกรมสรรพากรจะได้เสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งประสาน ธนาคารกรุงไทย เพื่อดำเนินการรับชำระค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไป
ดำเนินมาตรการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม 6 มาตรการ 18 โครงการ และให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account PSA)
และคณะทำงาน (ตามข้อ 2) เช่น ค่าเบี้ยประชุม เป็นต้น และค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวของ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เพื่อปฏิบัติงานในโครงการ เป็นวงเงินไม่เกิน 2,999,167,723 บาท
6,774,409,868 บาท และงบประมาณสำหรับธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ในการดำเนินงานเป็นวงเงินไม่เกิน 12,033,000,000 บาท รวมเป็นวงเงินไม่เกิน 18,807,409,868 บาท
เกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เป็นวงเงินไม่เกิน 13,872,513,200 บาท โดยจะใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายภายใต้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
ทั้งนี้ งบประมาณให้แต่ละหน่วยงานทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรร
งบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า ได้เสนอมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็น
มาตรการให้ความช่วยเหลือระยะที่ 2 แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน 2) คอต. มีปลัด กค. เป็นประธาน 3) คอจ. จำนวน 77 ชุด กรณีกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีปลัด กทม. เป็นประธาน ส่วนจังหวัดอื่น ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน 4) ทีม ปรจ. จำนวน 878 ชุด กรณี กทม. มีผู้อำนวยการเขตเป็นประธาน ส่วนจังหวัดอื่น ๆ มีนายอำเภอ เป็นประธาน 5) ผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer : AO) ได้แก่ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของ ธ.ก.ส. หรือธนาคารออมสิน
การบูรณาการโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และ พณ. เป็นต้น เพื่อให้การพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีความครบถ้วนสมบูรณ์โดยสร้างโอกาสในการพัฒนาใน 4 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 การมีงานทำ จำนวน 5 โครงการ มติที่ 2 การฝึกอบรมและการศึกษา 10 โครงการ มิติที่ 3 การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ จำนวน 11 โครงการ และมิติที่ 4 การเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน 8 โครงการ รวมทั้งสิ้น 34 โครงการ
2.1 มีโครงการที่ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ จำนวน 6 โครงการ ดังนี้
1) โครงการเพิ่มทักษะอาชีพแก่เกษตรกรผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (กษ.) 2) โครงการจ้างแรงงานชลประทานสร้างรายได้แก่เกษตรกร (กษ.) 3) โครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้และความมั่นคงในชีวิต (รง.) 4) โครงการสินเชื่อชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อพัฒนาอาชีพของผู้มีรายได้น้อย (XYZ) (ธ.ก.ส.) 5) โครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. 6) โครงการสนับสนุนสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 (ธ.ก.ส.)
2.2 มีโครงการของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ที่ขอเป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) รวม 6 มาตรการ 18 โครงการ ดังนี้
1) มาตรการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดย ธนาคารออมสิน รวม 3 มาตรการ 10 โครงการ ดังนี้ (1) มาตรการที่ 1 สินเชื่อ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สินเชื่อ GSB Home Stay สินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ และสินเชื่อ Street Food (2) มาตรการที่ 2 เงินฝาก จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษสวัสดิการแห่งรัฐ (3) มาตรการที่ 3 การพัฒนา จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ “มหาวิทยาลัยประชาชน” คลินิกสุขภาพทางการเงินเคลื่อนที่ การให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) พัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ร่วมกับ พณ. และบูรณาการแผนพัฒนากับหน่วยงานภาคี ในการพัฒนาอาชีพ
2) มาตรการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดย ธ.ก.ส. รวม 3 มาตรการ 8 โครงการ ดังนี้
- มาตรการที่ 1 พัฒนาตนเอง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ให้ความรู้แก่เกษตรกรลูกค้าผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และโครงการเงินฝากกองทุน ทวีสุข
- มาตรการที่ 2 พัฒนาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อพัฒนาอาชีพของผู้มีรายได้น้อย (XYZ) และโครงการ สินเชื่อพัฒนาอาชีพของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ
- มาตรการที่ 3 ลดภาระหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยในระบบ ธ.ก.ส. โครงการแก้ไขหนี้นอกระบบของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน ระยะที่ 3 โครงการสนับสนุนสินเชื่อกองทุนหมู่บ้านและสถาบันการเงินชุมชนเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาหนี้นอกระบบ และโครงการสนับสนุนสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2
3. มาตรการส่งเสริมให้พัฒนาตนเอง
ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล จะได้รับวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่ พณ. กำหนด โดยในการดำเนินมาตรการฯ จะใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายภายใต้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก วงเงินไม่เกิน 13,872,513,200 บาท ทั้งนี้ จะเริ่มได้รับในเดือนถัดไปหลังจากเดือนที่แสดงความประสงค์จนถึงเดือนธันวาคม 2561
4. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (กรมสรรพากร) เพื่อจูงใจให้นายจ้างที่เป็นนิติบุคคลจัดการฝึกทักษะฝีมือให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือพิจารณาจ้างงานผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นกรณีพิเศษโดยให้หักรายจ่ายเป็นจำนวน 1.5 เท่าของรายจ่าย ดังนี้
4.1 รายจ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการฝึกทักษะอาชีพให้แก่ผู้มีบัตร
สวัสดิการแห่งรัฐ
4.2 รายจ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยการ
จ่ายค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในส่วนที่ไม่เกินร้อยละสิบชองจำนวนลูกจ้างในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562
ต่างประเทศ
11. เรื่อง ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียกับสถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์ว่าด้วยการเป็นประเทศเจ้าบ้านและการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่สถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียกับสถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์ว่าด้วยการเป็นเจ้าบ้านและการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่สถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์
2. ให้ผู้แทนของสถาบันอาเซียนฯ ซึ่งได้รับการมอบหมายจากคณะมนตรีของสถาบันฯ เป็นผู้ลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียกับสถาบันอาเซียนฯ
สาระสำคัญของความตกลงฯ จะกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสถาบันอาเซียนฯ และอินโดนีเซียในฐานะประเทศเจ้าบ้าน ดังนี้
1. สถาบันอาเซียนฯ จะมีสถานะทางกฎหมายและจะต้องดำเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบของอินโดนีเซีย โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบ เช่น 1.1 การดูแลรักษาสถานที่ทำการที่ประเทศเจ้าภาพจัดหาให้ 1.2 การชำระค่าใช้จ่ายการให้บริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ 1.3 การซ่อมแซมอุปกรณ์ สิ่งของเครื่องใช้สำนักงาน 1.4 การประกันภัยสำนักงาน การชำระภาษีที่เกี่ยวข้อง 1.5 การจัดการใบอนุญาตทำงานสำหรับบุคลากร และ 1.6 การบริหารจัดการกองทุนและงบประมาณและบุคลากรของสำนักงาน
2. อินโดนีเซีย ในฐานะประเทศเจ้าบ้านจะต้องให้สถาบันอาเซียนฯ มีสถานะเท่าเทียมกับหน่วยงานสำคัญของรัฐของอินโดนีเซีย โดยจะต้องดำเนินการ ดังนี้
2.1 อำนวยความสะดวกในการรับคำขอตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า การเดินทางผ่าน และการเดินทางออกจากประเทศเจ้าบ้านสำหรับบุคคลต่าง ๆ
2.2 ยกเว้นและลดหย่อนอากรศุลกากรและภาษีตามกฎหมายและกฎระเบียบภาษีอากรของประเทศเจ้าบ้าน
2.3 จัดหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการดำเนินงานของสถาบันอาเซียนฯ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
2.4 รักษาความปลอดภัยตามแนวปฏิบัติเดียวกันกับที่ดำเนินการกับสำนักงานผู้แทนทางการทูตหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ
2.5 ให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับผู้อำนวยการบริหารและเจ้าหน้าที่ของสถาบันอาเซียนฯ ตามความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่
2.6 ยกเว้นภาษีสำหรับสถาบันอาเซียนฯ และสังหาริมทรัพย์ของสถาบันอาเซียนฯ
2.7 ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างภาคีทั้งสองฝ่ายอันเนื่องมาจากการตีความหรือการนำความตกลงนี้มาใช้ จะต้องระงับอย่างฉันมิตรโดยผ่านการหารือหรือการเจรจา
2.8 ความตกลงฯ อาจมีการแก้ไขเป็นลายลักษณ์อักษร โดยได้รับความเห็นชอบจากภาคี ทั้งสองฝ่าย โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ประเทศเจ้าบ้านแจ้งการเสร็จสิ้นการดำเนินการตามกระบวนการภายใน
2.9 ความตกลงฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ประเทศเจ้าบ้านได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้อำนวยการบริหารถึงการเสร็จสิ้นของการดำเนินการตามกระบวนการภายในสำหรับการบังคับใช้ความตกลงนี้ และจะสิ้นสุดหลักจากได้รับการแจ้งจากภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่าประสงค์จะยุติความตกลงนี้ต่ออีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นระยะเวลา 6 เดือน
12. เรื่อง ขออนุมัติลงนามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับโรมาเนียว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้อง คำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
คำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ)
สัญญาฯ
ข้างต้นในกรณีที่ผู้ลงนามไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
โรมาเนียต่อไป
ลงนาม ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างสนธิสัญญาดังกล่าว เป็นการกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอนและการรับโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาระหว่างภาคี สรุปได้ดังนี้
ได้ เพื่อรับโทษที่ตนถูกพิพากษา
ศาลของรัฐผู้โอนให้จำคุกหรือทำให้ปราศจากอิสรภาพในรูปแบบอื่นอันเป็นผลจากความผิดอาญา
ผู้โอนเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายของรัฐผู้รับ
ของรัฐผู้โอน
แห่งรัฐ หรือสมาชิกครอบครัวของประมุขแห่งรัฐ หรือต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสมบัติที่มีค่าทางศิลปะของชาติจะไม่ได้รับการโอนตัว
การโอนตัวจะต้องได้รับโทษในรัฐผู้โอนมาแล้วเป็นระยะเวลาขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด
คำพิพากษาดังกล่าว รวมทั้งกระบวนการแก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกคำพิพากษาของศาลตน
ของรัฐผู้รับ
บังคับสนธิสัญญานี้
ทางการทูตว่าได้เสร็จสิ้นกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้มีผลใช้บังคับ และอาจได้รับการแก้ไขโดยความยินยอมร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรของคู่ภาคี
13. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง – ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิก
แม่โขง – ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนและให้มีการประกาศในช่วงการประชุมผู้นำ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชาตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง – ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ระหว่างประเทศสมาชิกแม่โขง – ล้านช้าง ในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยประเทศสมาชิกจะร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนและลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยตระหนักถึงข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของจีนที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักฉันทามติและความเท่าเทียมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้ง 6 ประเทศ โดยจะร่วมกัน
1. ส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าร่วมกัน
2. ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศสมาชิก
3. ยกระดับการอำนวยความสะดวกทางการค้า
4. ส่งเสริมการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์โดยเฉพาะความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แก่ธุรกิจขนาดไมโคร ขนาดกลาง และขนาดย่อม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ
5. ส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน เพื่อให้เกิดการลงทุนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูง
6. ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแก่ประชาชน
ของประเทศสมาชิก
7. ส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยสนับสนุนการค้าพหุภาคีขององค์การ การค้าโลก เร่งรัดการเจรจาความความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) และให้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนและความตกลงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
14. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจร่วมฯ ทั้งสองฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจร่วมทั้งสองฉบับ
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจ 2 ฉบับ มีดังนี้
1. ร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษ แม่โขง – ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายจีน ให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนอย่างสูงสุด โดยโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ประกอบด้วย 4 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษข้ามพรมแดน 2) โครงการพัฒนาการอำนวยความสะดวกแนวชายแดนเพื่อพัฒนาการค้าและระบบโลจิสติกส์ 3) การจัดกิจกรรมเวทีภาคธุรกิจแม่น้ำโขง – ลานช้าง และ 4) การพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในเขตชนบท รวมเป็นเงินงบประมาณจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับ รวม 1,701,800 เหรียญสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศณษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) เป็นผู้ดำเนินโครงการของกระทรวงพาณิชย์ทั้ง 4 โคงการ
2. ร่างบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกและมีส่วนร่วมในความร่วมมือเพื่อยกระดับขีดความสามารถของภาคเอกชน รัฐบาล ชุมชนท้องถิ่น และองค์กรภาคประชาสังคม ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน)
ขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ จัดฝึกอบรมร่วม การสัมมนา การประชุมโครงการวิจัยร่วมการแลกเปลี่ยนบุคลากรที่เป็นวิทยากรและผู้ช่วยวิจัย การพัฒนาและแบ่งบันเครือข่ายข้อมูล ดำเนินการโครงการที่ได้รับทุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง
ระยะเวลาของความร่วมมือ มีระยะเวลา 5 ปี จากวันที่มีผลบังคับใช้ เว้นแต่จะมีการยกเลิกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า 2 เดือนไปยังอีกฝ่าย และอาจตกลงที่จะขยายบันทึกความเข้าใจ ร่วมฯ นี้ ตามข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับเงื่อนไขต่อไป
15. เรื่อง OECD ทาบทามให้ไทยพิจารณาดำรงตำแหน่งประธานร่วมของการประชุม Steering Group Meeting of OECD Southeast Asia Regional Programme (SEARP) วาระปี 2561-2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยรับดำรงตำแหน่งเป็นประธานร่วมของการประชุม Steering Group Meeting of OECD Southeast Asia Regional Programme (SEARP) วาระปี 2561-2563
2. เห็นชอบในหลักการให้ กต. พิจารณาเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Ministerial Level Steering Group Meeting of OECD SEARP ในนามประเทศไทยในช่วงวาระการเป็นประธานร่วมของไทย
[การประชุม Steering Group Meeting of OECD Southeast Asia Regional Programme (SEARP) กำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส]
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. โครงการ SEARP เป็นกลไกความร่วมมือที่ริเริ่มขึ้นในการประชุม OECD Ministerial Council Meeting (MCM) เมื่อปี 2557 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) กับอาเซียนให้มีความแน่นแฟ้นใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ OECD เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการบูรณาการอาเซียน ทั้งนี้ โครงการ SEARP ประกอบด้วยความร่วมมือ 6 สาขา ภายใต้ Regional Policy Networks (RPNs) ได้แก่ (1) ด้านภาษี (2) SMEs (3) การศึกษา (4) การลงทุน (5) ความเชื่อมโยงและความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน และ (6) แนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่ดี และอีก 3 ประเด็นเฉพาะ (Initiatives) ได้แก่ (1) การค้า (2) นวัตกรรม และ (3) ความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งนี้ กต. เป็นหน่วยงานประสานงานหลัก (focal point) ของไทยกับ OECD นอกจากนี้ SEARP ยังมีหุ้นส่วนสำคัญในระดับภูมิภาค (ASEAN, APEC, ADB, ERIA และ UNESCAP) และระดับระหว่างประเทศ (World Bank, UNESCO) ร่วมดำเนินโครงการอีกด้วย
2. ภายใต้โครงการ SEARP มีการจัดการประชุมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศสมาชิก OECD ในระดับต่าง ๆ ทั้งในระดับรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่อาวุโสและผู้เชี่ยวชาญ และที่ผ่านมาประเทศไทยมีบทบาทที่โดดเด่นในเวที SEARP อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุม Steering Group Committee of OECD SEARP ครั้งต่อไป จะมีขึ้นในวันที่ 10 มกราคม 2561 ที่กรุงปารีส โดยจะมีการพิจารณาเรื่องการสรรหาประธานร่วมของโครงการ SEARP ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดแสดงความสนใจนอกเหนือจากประเทศไทยและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ประเทศสมาชิก OECD โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้พิจารณาเห็นถึงพลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ OECD ซึ่งถือว่ารุดหน้าอย่างยิ่งในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่ประเทศไทยและ OECD ได้เตรียมที่จะเริ่มดำเนินโครงการ Country Programme (CP) ซึ่งไทยถือเป็นประเทศเดียวจากอาเซียนที่ OECD เสนอโครงการความร่วมมือในลักษณะดังกล่าว หลายฝ่ายจึงเห็นว่าไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและความพร้อมที่จะปฏิสัมพันธ์กับ OECD และเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานร่วมของโครงการ SEARP ต่อไป
แต่งตั้ง
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นายณชัย ศราธพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านยีนและโรคทางพันธุกรรมสัตว์ (นายสัตวแพทย์เชี่ยวชาญ) สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายสัตวแพทย์ (นายสัตวแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย
2. นายธงชัย ชาสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ณ ไทเป
3. นายมานพชัย วงศ์ภักดี เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์
4. นายศรายุธ กัลยาณมิตร อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ โรมาเนีย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ ตามข้อ 1. , 3. และ 4. ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง พันตำรวจตรีหญิง รมยง สุรกิจบรรหาร ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน (นักวิชาการแรงงานทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นางอัจฉรา แก้วกำชัยเจริญ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายอภิญญา สุจริตตานันท์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นางสุกัญญา งามบรรจง ที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
21. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ จำนวน 6 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2558 ดังนี้ 1. นายสมชัย ฤชุพันธุ์ 2. นายพชร ยุติธรรมดำรง 3. นายวรากรณ์ สามโกเศศ 4. นายมนูญ สรรค์คุณากร 5. นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล 6. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร (นักบริหารสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางวิสุนี บุนนาค ผู้ช่วยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายอภิชาติ จีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
2. นาวาตรี วรวิทย์ เตชะสุภากูร ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นายจำเริญ โพธิยอด ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แทน นายวีระวุฒิ ศรีเปารยะ กรรมการเดิมที่ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี