เพื่อไทยจ่อยื่น 2 ข้อหลัก 3 ช่องทางขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยฉีกทิ้งคำสั่ง คสช.ที่ 53/ 2560 ละเมิดสิทธิลบล้างกฎหมายแม่
17 ม.ค.61 ที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมแกนนำพรรคร่วมแถลงคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่53/2560 อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ประกอบมาตรา 5 หรือไม่
โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวคำแถลงการณ์ ว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำสั่ง53/2560 อาจมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และอาจเป็นการละเมิดสิทธิจึงได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัย
โดยประเด็นสำคัญมี ดังนี้
1.คำสั่งดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 จึงไม่เป็นที่สุด ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของคำสั่งดังกล่าวได้ อีกทั้งการที่หัวหน้า คสช.ออกคำสั่งแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเท่ากับเป็นการลบล้าง กระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านการพิจารณาตามกระบวนการหรือไม่
2.คำสั่งดังกล่าวอาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญดังนี้ การที่หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจโดยไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญและใช้อำนาจซึ่งเป็นขององค์กรอื่น อันไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ การออกคำสั่งที่มีผลเป็นการลบล้างสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมือง เป็นการยกเลิกสิทธิของการเป็นสมาชิกพรรค จึงกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลและเป็นการออกกฎหมายที่มีผลย้อนหลังเป็นโทษแก่บุคคลหรือไม่และอาจขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งการกำหนดให้สมาชิกพรรคต้องทำหนังสือยืนยันและแสดงหลักฐานการมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามภายใน 30 วัน เป็นการเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และยังขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ และในคำสั่งไม่ได้ระบุเหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรคการเมืองหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ทั้งนี้จะยื่นคำร้องใน3ช่องทาง คือ
1.ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินในนามพรรค
2.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญในนามนิติบุคคล
3.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญในนามสมาชิกพรรค
โดยในส่วนนี้จะมีแกนนำพรรคลงนาม13 คนประกอบด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายโภคิน พลกุล นายภูมิธรรม เวชยชัย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายชัยเกษม นิติสิริ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายนพดล ปัทมะ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายสามารถ แก้วมีชัย และนายวัฒนา เมืองสุข โดยจะมอบให้ฝ่ายกฎหมายไปยื่นในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้
ด้านนายชูศักดิ์ กล่าวว่า ทันทีที่คำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 ออกมา ทางฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล รวมทั้ง สนช. พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มาตรา 265 ให้อำนาจ คสช. ในการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าเป็นที่สุด ซึ่งเป็นคำพูดที่เหมือนกับว่าเราจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความไม่ได้ แต่เราเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่มีความเสมอภาค เลือกปฏิบัติ และไม่สุจริต
ดังนั้นเราจึงมองว่าคำสั่งดังกล่าวมีปัญหา เป็นคำสั่งที่มิชอบ และขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ถ้ากฎหมายนี้ออกมาบังคับใช้จริงๆ ก็สร้างความยากลำบากให้พรรคการเมืองที่ต้องดำเนินไปตามคำสั่ง เช่น บอกให้สมาชิกมายืนยันความสมาชิก เสียค่าธรรมเนียมภายใน 30 วัน มียุบสาขาพรรคทั้งหมดที่มีอยู่ต้องจัดตั้งสาขาใหม่ และถ้าตั้งสาขาไม่ครบทั้ง 4 ภูมิภาคก็ห้ามส่งผู้สมัครระยะเวลานี้ให้เริ่มต้นทำ ตั้งแต่มีการปลดล็อกทางการเมือง อีกทั้งการจะปลดล็อกการเมืองเมื่อไร เป็นไปตามอำเภอใจของคสช.หรือไม่
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ทุกฝ่ายได้เรียกให้มีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องต้องให้ การจะนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ต้องให้เวลาพรรคการเมืองที่จะเตรียมความพร้อมตามกฎหมายพรรคการเมือง ต้องใช้เวลาพบประชาชนเพื่อที่จะผลิตและร่างนโยบาย ให้ตอบโจทย์กับประเทศ เมื่อ คสช. ไม่ยอมปลดล็อก โดยอ้างเรื่องความมั่นคงและอ้างว่า ยังมีกลุ่มการเมืองเคลื่อนไหวอยู่เป็นเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนัก
อีกทั้งพรรคการเมืองทุกพรรคไม่เห็นด้วยกับคำสั่งที่ 57/2560 และทางพรรคมองว่า คำสั่งนี้ไม่เอื้อต่อกระบวนการสร้างการปรองดอง ดังนั้นการสร้างความปรองดองเป็นภารกิจที่คสช.ยังทำไม่สำเร็จ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี