“นายกฯ”สั่ง“คทช.”ลุยแก้ปัญหาที่ดินทำกินปี 61 ตั้งเป้าหมายเห็นผลชัดเจน แก้ปัญหาบุกรุกป่ายั่งยืน หวังต่อยอดจัดหาพื้นที่อยู่อาศัยให้คนจนเมือง
18 ม.ค. 61 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 1/2561 มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รมช.เกษตรและสหกรณ์ และหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวในระหว่างการประชุมว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำขณะนี้ สอดคล้องกับโครงการจัดหาที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยให้ประชาชนที่ยังเป็นปัญหาอยู่มากในปี 2561 ต้องกำหนดเป้าหมายให้มีความชัดเจน กำหนดพื้นที่เป็นอย่างไร ซึ่งยึดหลักพื้นที่จัดสรรต้องเป็นพื้นที่เดิมที่ได้จากการยึดคืน ได้คืนจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) หรือได้คืนจากการบุกรุกป่า นำมาจัดสรรเป็นพื้นที่ให้ประชาชน รวมถึงพื้นที่ที่สามารถกำหนดเพิ่มเติมได้ตามข้อปฏิบัติที่กำหนด
ต่อมาพล.อ.สุรศักดิ์ แถลงว่า ปัญหาที่ดินถือเป็นความขัดแย้งของคนที่อยู่ในป่ามานานมาก ทุกรัฐบาลพยายามแก้ไข แต่นับวันไปปัญหาความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น และบานปลายออกไป เมื่อเมืองพัฒนาขึ้น คนต้องการที่ดินในการทำอาชีพมากขึ้น ความต้องการในส่วนของพื้นที่ป่ารัฐก็มีตัวบทกฎหมาย ทั้ง 2 ส่วนไม่ได้ด้วยกัน ดังนั้นรัฐบาลนี้ได้ออกแนวนโยบายให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ด้วยการออกแบบพื้นที่ให้อยู่ร่วมกันอย่างสมดุลยั่งยืน
กำหนดนโยบายจัดการที่ดีให้กับชุมชนขึ้น ทั้งที่ดินเขตป่าสงวนพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3, 4 และ 5 ที่ประชาชนอยู่มาก่อนปี 41 พื้นที่ ส.ป.ก. พื้นที่ราชพัสดุ พื้นที่สาธารณะ พื้นที่นิคมสร้างตนเอง อย่าง จ.แม่ฮ่องสอน ประชาชนบอกอยู่มานาน คนเหล่านี้เข้ามาอยู่พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3,4 และ 5 ที่รอพิสูจน์มาก่อนเดือนมิ.ย.41 จริงหรือไม่ และมีถึง 60 เปอร์เซ็นต์เข้าไปอยู่พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และ 2 อีกส่วนเข้าไปอยู่ในพื้นที่เขตอุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตรงนี้ประชาชนไม่มีทางออก บอกอยู่มาเป็น 100 ปี กล่าวหารัฐว่า ประกาศเขตทับที่ประชาชน
ปัญหาดังกล่าวจะเร่งแก้ไข 3 แนวทาง เร่งรัดที่ดินทำกินให้ชุมชนที่ค้างคาในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1-5 ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเขตที่รัฐจัดให้ แต่ประชาชนอยู่จำนวนมาก โดยกระทรวงจะตั้งคณะทำงานร่วมกับประชาชนในพื้นที่ทั้ง 7 ชนเผ่าแม่ฮ่องสอน ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อออกแบบพื้นที่ให้ประชาชนสามารถอยู่ในพื้นที่ทำกินอยู่ได้ แบบมีที่อาศัย จะส่งผลพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น ตามสัดส่วนที่เหมาะสม และพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตอุทยานที่มีประชาชนอยู่ 145 หมู่บ้าน ซึ่งกำลังออกแบบ เพียงแต่วันนี้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติไม่มีอำนาจให้ใช้พื้นที่ได้
พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันประชาชนเกรงว่า จะทำผิดกฎหมาย และรัฐบาลต้องการให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ได้แก้ไขร่างพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และร่างพ.ร.บ.ป่าสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เพื่อให้อำนาจอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติอนุญาตให้ประชาชนอยู่ได้ ตามที่คณะทำงานร่วมกันออกแบบ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างสมดุลที่เรียกสั้นๆว่า รัฐได้ป่า ประชาได้ที่ทำกิน โดยมีจ.แม่ฮ่องสอน เป็นต้นแบบ
วันนี้ จ.แม่ฮ่องสอนมี 415 หมู่บ้าน มี 38 หมู่บ้านอยู่นอกพื้นที่ป่าเท่านั้น หมายความว่าประชาชนอีก 377 หมู่บ้านผิดกฎหมายทั้งหมด ก็มีคำถามว่า เมื่อประชาชนผิดกฎหมายแล้วรัฐจะเข้าไปดำเนินการได้อย่างไร จึงออกคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปรามหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนอยู่ที่เดิมไปก่อน จนกว่าจะแก้พ.ร.บ.ต่างๆที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว สรุปนโยบายรัฐบาลคือ การจัดระเบียบประโยชน์ป่าไม้ ที่ดิน การพัฒนาประเทศและคน ควบคู่กันไป
ด้านนางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) กล่าวว่า นายกฯติดตามการทำงาน คทช. ในการพิจารณาพื้นที่เป้าหมายตั้งแต่ปี 58 เข้าโครงการจัดที่ดินให้เกษตรกร และประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน ทั้งหมด 371 พื้นที่ ครอบคลุม 66 จังหวัดทั่วประเทศ เนื้อที่โดยรวม 1 ล้านกว่าไร่เศษ ขณะที่การจัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกรเรียบร้อยแล้ว 36,179 ราย พร้อมกับมอบนโยบายเพิ่มเติม
สำหรับจังหวัดที่ไม่มีพื้นที่นำไปจัดสรร ให้จัดหาพื้นที่อยู่อาศัยให้กับคนจนที่อยู่ในเมืองแทน อย่างที่ดินราชพัสดุที่ นายกฯเน้นย้ำการสร้างรายได้กับประชาชนที่มีอยู่ในพื้นที่ ส่วนราชการสร้างองค์ความรู้ต่อยอดการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ รวมถึงการจัดทำร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
ปัจจุบัน คทช. อยู่ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี แต่นายกฯต้องการให้การจัดการที่ดินเกิดความยั่งยืน จะยกระดับเป็นพ.ร.บ.ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา จะได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ต่อไป และวาระที่สำคัญให้ความเห็นชอบร่างแผนบริหารราชการจัดการที่ดินและทรัพยากรของประเทศระยะ 5 ปี ระหว่างปี 60-64
ซึ่งปี 62 กำหนดเป็นระยะเร่งด่วนจัดการที่ดินให้มีคุณภาพ และบริหารที่ดินอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน คทช. ยังเห็นชอบกระบวนการ และหลักเกณฑ์จัดที่ดินให้กับประชาชนในพื้นที่อื่นๆนอกเหนือพื้นที่ที่สามารถทำได้ รวมไปถึงพื้นที่ที่สามารถนำเข้าโครงการของ คทช.ได้ เพื่อจัดคนลงพื้นที่ว่างอยู่ อย่างป่าชายเลน และจัดที่ดินให้กลุ่มเกษตรรุ่นใหม่ในพื้นที่ส.ป.ก.จากที่ได้อบรมแล้ว
ในส่วนการจัดเกษตรกรลงพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ถือเป็นพื้นที่เป้าหมายประเภทใหม่ ที่เข้ามา พร้อมกันนี้ นายกฯเน้นย้ำให้นำเครื่องมือการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) และผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(อีเอชไอเอ)มาใช้ ในการออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี