21 ม.ค.61 นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่เฝ้าติดตามการทำงานของรัฐบาลและกลุ่มผู้มีอำนาจจากคสช. เห็นว่ากลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันกำลังสร้าง 4 วิกฤต ให้เกิดขึ้นประกอบด้วย
1."วิกฤต ศรัทธาผู้นำ" จาก "โรคเลื่อน" ผู้นำที่พูดจาไร้หลักการ เลื่อนลอย เปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจของตนตลอดเวลา เป็นการส่งสารต่อสาธารณะอย่างไร้ความรับผิดชอบ ยึดอำนาจและอารมณ์ตนเองเป็นใหญ่ ไม่มีหลักการเหตุผลรองรับ และขั้นร้ายแรงเวลานี้ คือการใช้กำลังขยายอำนาจ ควบคุมและคุกคามการแสดงออกตามสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
วิกฤตจากโรคเลื่อนจากโร้ดแมป ที่ประกาศต่อคนไทยและโลก ที่ผัดผ่อนตามอำเภอใจ จนบัดนี้เข้า 4 ปีแล้ว ยังไม่เห็นรูปธรรมที่ชัดเจนตามวลีที่บอกว่า "เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน" นั้น กลับแสดงถึงการดิ้นรนที่จะขยายการสืบทอดอำนาจของตนออกไปอย่างไม่ละอาย
วิกฤตดังกล่าวถือเป็นความล้มละลายของภาวะผู้นำ ในความน่าเชื่อถือ และยิ่งสะท้อนถึง ภาวะวิกฤตศรัทธา ที่จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ดำมืดในชีวิตของคณะบุคคลชุดนี้เอง
2. "วิกฤตความโปร่งใส"เป็นวิกฤติที่เกิดจากทีมงาน คนรอบข้างและเครือญาติสนิทของผู้นำ ความเสื่อมทรุดทางด้านความโปร่งใส ของคณะผู้มีอำนาจและเครือญาติ พวกพ้อง เป็นเรื่องที่สังคมได้รับรู้มาโดยตลอดตั้งแต่การเข้าสู่อำนาจในระยะแรก จนขยายมากขึ้นในปัจจุบัน
ข้อคลางแคลงใจกรณีอุทยานราชภักดิ์ โครงการรถเมล์เอ็นจีวี โครงการที่เกี่ยวข้องกับ อผศ. เรื่องเรือเหาะ-เครื่องมือ GT 200 การเอาที่ดินสาธารณะไปให้เอกชนเช่าหาประโยชน์ การที่เครือญาตินายกฯใช้สถานที่ราชการไปจดทะเบียนบริษัทและประมูลงานของราชการที่บิดาของตนเป็นหัวหน้าหน่วยราชการนั้นๆ
หรือสุดท้ายที่กำลังเป็นข่าวฮือฮาดังระดับโลกคือเรื่อง "แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน" ที่มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท เมื่อถูกสังคมตั้งคำถาม ก็ไม่สามารถให้เหตุผลที่ยืนยันความโปร่งใสของเจ้าของเรื่องได้ ยิ่งปกปิด ยิ่งไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ยิ่งสะท้อนวิกฤตความโปร่งใส
เรื่องราวต่าง ๆ นี้ จะกลายเป็นอาวุธทำร้ายศักดิ์ศรี การให้เหตุผลที่มักง่ายและขาดสามัญสำนึกเป็นลักษณะของผู้นำที่ดูถูกประชาชน
ทั้งนี้ นายภูมิธรรม ระบุว่า ความโปร่งใสเป็นเหตุผลหลักที่นำคณะท่านเข้ามาบริหารจัดการประเทศ แต่ยิ่งนานไปยิ่งมีปรากฏการณ์ที่ขยายความไม่โปร่งใสครึกโครมมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา
3. "วิกฤตหลักการ"... ใช้ "หลักกู"แทน ปกครองโดย "อำเภอใจ" แทนหลัก "นิติธรรม" และเลือกใช้หลัก "กฏหมาย" แบบเลือกปฏิบัติ
วิกฤตหลักการ เป็นการใช้อำนาจปกครองประเทศและผู้เห็นต่าง โดยอ้างหลักการและหลักกฏหมาย ซึ่งถูกสร้างขึ้นและนำมาใช้อย่างบิดเบือน เพื่อตอบสนองอำเภอใจของผู้นำ การใช้..."อภินิหารทางกฏหมาย"
ซึ่งแท้ที่จริงคือการใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือ กำราบผู้ที่เป็นภัยต่ออำนาจของตน การใช้เล่ห์ เพทุบาย สมคบคิดกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกับกลุ่มผู้นำ เพื่อหาช่องทางสืบต่ออำนาจให้ยาวนานออกไป ถือเป็นการบิดเบือนกฏหมายให้เป็นไปตามอำเภอใจของผู้นำ บิดเบือนหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์ของพวกพ้องตนอย่างน่าละอาย
4. "วิกฤติผลงาน" เพื่อให้คนจนหมดทั้งประเทศ โดยผลงานที่ออกมาสู่สายตาสาธารณชน ที่รัฐบาลพยายามใช้ทุกช่องทางโฆษณาว่าประสบความสำเร็จน่าพึงพอใจ
แต่มีนักวิชาการและสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อย ที่สะท้อนด้านที่เป็นความล้มเหลวของคณะผู้มีอำนาจ โดยวิจารณ์ว่า ผลงานที่ออกมาอำนวยความสุขและผลประโยชน์ให้แก่เครือข่ายของชนชั้นนำ บริษัทชั้นนำใหญ่ๆ เครือญาติและพวกพ้องของกลุ่มผู้มีอำนาจมากกว่าเป็นประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ส่วนผลงานจากจากฝีมือของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล นำประชาชนไปสู่เส้นทางที่ กำลังจะยากจนหมดประเทศ มากกว่า
การผลักดันโครงการประชารัฐ อย่างแข็งขัน ซึ่งแท้จริงแล้วคือโครงการที่อำนวยประโยชน์ให้แก่กลุ่มธุรกิจใหญ่และเครือข่ายชนชั้นนำที่ช่วยกันโอบอุ้มกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบัน
การใช้กลไกอำนาจรัฐและงบประมาณของรัฐ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความนิยม เพื่อเอื้อประโยชน์โดยมุ่งหวังสร้างความนิยมเสมือนเป็นการใช้งบหลวงและกลไกรัฐมาหาเสียงล่วงหน้า
การจัดตั้งกลุ่มพวกพ้องเพื่ออำนวยประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจของฝ่ายตน เป็นการใช้ความได้เปรียบของกลไกต่างๆ เป็นบันไดเพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะผู้บริหารปัจจุบัน และเรื่องราวทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาและความทรงจำของประชาชนอย่างแน่นอน
กล่าวสรุปว่า วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 4 ประการ จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของกลุ่มอำนาจที่ไม่ได้มาจากความเห็นชอบของประชาชน และกำลังเป็นปัจจัยบ่อนเซาะอิทธิพลของพวกตนลงทุกขณะ
ความรับรู้ของประชาชนกำลังรวมศูนย์เพื่อตั้งคำถามต่อการยึดอำนาจเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้องมากกว่า วันนี้นอกจากพยายามปกป้องผลประโยชน์ด้วยการทำลายกลไกการตรวจสอบขององค์กรอิสระต่างๆที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ และเลือก set zero บางองค์กร หรือต่ออายุกรรมการองค์กรอิสระในองค์กร แม้จะมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้ทั้งๆที่ขัดรัฐธรรมนูญ
นายภูมิธรรม ตั้งข้อสังเกตว่า การที่เกิด "โรคเลื่อน" มาโดยตลอดในการกำกับทิศทางให้ประเทศไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้ เป็นเพราะเหตุผล ดังนี้
1)รองบประมาณ ที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลผลักดันงบจำนวนมหาศาล หวังให้เกิดผลสร้างความพึงพอใจกับประชาชน เพื่อจะเป็นฐานรองรับความนิยมของพวกตนในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
2)รอการแต่งตั้งโยกย้ายเรียบร้อยให้ได้คนของตนเพื่อไปสร้างความมั่นคงให้กับฐานอำนาจตน และใช้เป็นกลไกที่อำนวยประโยชน์ให้การสืบทอดอำนาจของตนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3)รอการแต่งตัวของพรรคใหม่ที่เป็นพรรคของตนหรือพรรคสำรอง ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนพวกตน ให้มีความพร้อมที่จะชิงความได้เปรียบพรรคเก่า
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า วิกฤตทั้งหลายทั้งมวล ทำให้สังคมเห็นเจตนาที่เปิดเผยชัดเจนขึ้น เรื่องความต้องการในการสืบทอดอำนาจ ของคณะผู้มีอำนาจในปัจจุบัน และที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงสถานะและบทบาทของกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันจาก "คนกลาง" ที่อ้างว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ประเทศ กลายเป็น "ผู้เล่นหลัก" ที่ต้องการเข้ามาสืบต่ออำนาจ โดยพยายามชิงความได้เปรียบ ทั้งงบประมาณหลวง/กลไกอำนาจรัฐทุกส่วน/กติกาและกฏหมายที่ใช้ควบคุมการเลือกตั้ง และการใช้วาทกรรมเพื่อให้ความหมายและสร้างความชอบธรรมต่อระบบต่างๆที่ตัวเองสร้างขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี