“บิ๊กป้อม” เก้าอี้ร้อนหนัก “หม่อมอุ๋ย” ย้ำถ้าเจอคดีนาฬิกาหรูคงทู่ซี้อยู่ไม่ได้ ชี้ต่อให้ไม่เกี่ยวกับทุจริต แต่เมื่อทำผิดกฎเกณฑ์ก็ต้องไป เพราะประชาชนไม่ไว้ใจอีกแล้ว ด้านอดีต 40 สว.เตือนอย่าท้าทายจริยธรรมสังคมไทย ชี้ช่องจะลาออกเองหรือให้ “บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ปลด ย้ำถ้าไม่ไปหายนะแน่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยังคงตกอยู่ในสภาพเก้าอี้ร้อนจากการถูกกดดันจากฝ่ายต่างๆ ให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีมีการตรวจสอบพบการครอบครองนาฬิกาหรูมูลค่านับล้านบาทเป็นจำนวนอย่างน้อย 25 เรือน
โดยเมื่อวันที่ 22 ม.ค.61 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเพื่อร่วมรุ่นเซนต์คาเบรียลของ พล.อ.ประวิตร ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการออกมาแนะให้ พล.อ.ประวิตร ลาออกจากตำแหน่งว่า โดยข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องการแนะให้ใครลาออก เพียงแต่บอกว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตนเอง ก็คงลาออก เพราะเมื่อเป็นความผิดที่ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินไปแล้ว ก็ต้องลาออก ไม่ต้องรอผลการพิจาณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบกรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะทำผิดไปแล้ว ส่วนเรื่องการยืมนาฬิกใส่นั้น ผมไม่ทราบ ใครจะยืมใคร เรื่องนี้ต้องวงในคลุกคลีกันมากถึงจะรู้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยอมรับว่าสนิทกับ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาหรูที่ให้ พล.อ.ประวิตร ยืม เนื่องจากเป็นเพื่อนกันและเป็นพาร์ทเนอร์กันในทางธุรกิจ ดังนั้นในทางธุรกิจจึงถือว่าสนิทกัน แต่ก็ไม่ได้คลุกคลีกัน และรู้ว่า นายปัฐวาท เป็นคนที่ชอบและสะสมนาฬิกาจริง แต่ไม่รู้ไปถึงขั้นว่าได้ให้ พล.อ.ประวิตร ยืมด้วยหรือไม่ เพราะเรื่องใครยืมนาฬิกาใครเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนเป็นวงเล็กๆ ที่เขาคุยกัน อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า เมื่อสถานการณ์บีบคั้นขนาดนี้ ถ้าเป็นตนก็คงต้องขอลาออกดีกว่า ต้องดูว่าประชาชนเขาคิดอย่างไร
“เมื่อเป็นนักการเมือง ก็ต้องอยู่กับความคิดของประชาชน ถ้าประชาชนยอมรับก็อยู่ได้ แต่ถ้าประชาชนไม่ยอมรับก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีความสุข ไปไหนก็อึดอัด ผมฝากคนไปบอกถึงท่านแล้วว่า มีชีวิตที่มีความสุขอยู่ได้ให้รักษาชื่อเสียงไว้ เพราะเขายังไม่เคยกล่าวหาเรื่องทุจริต คอรัปชั่น ก็ถือว่าชื่อเสียงวงศ์ตระกูลก็ยังดีอยู่ เรื่องการไม่แจ้งนาฬิกาไม่ใช่เรื่องทุจริต เป็นเรื่องผิดกฎเกณฑ์ แต่ถ้าอยู่นานๆ แล้วทำให้คนทั่วไปไม่เชื่อ ในที่สุดก็จะเสีย”
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ถือว่าสะเทือนถึงรัฐบาลแล้ว แต่จะหนักกว่านี้หรือไม่ก็อยากให้ช่วยกันวิเคราะห์ ผมไม่รู้ว่าจะสะเทือนไปเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองหรือไม่ แต่ในยุคที่สื่อมวลชนไม่ค่อยกล้า มันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเท่าไหร่ สื่อเพียงตั้งคำถามทุกวัน แต่ไม่กล้ามากกว่านี้ คือต้องกล้าวิจารณ์กัน
“ที่ผมบอกว่ากระเทือนรัฐบาล เพราะว่าผู้นำไม่ได้ดูแลเหมือนสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และอดีนายกฯ ซึ่งสมัยผู้นำอย่างป๋าเปรมจะดูแลให้ครม.เป็นตัวอย่าง มีความประพฤติที่เป็นตัวอย่างของประชาชน ครม.ต้องมีจริยธรรม ถ้าผู้นำไม่ดูแลเรื่องจริยธรรม ก็กระเทือนความเชื่อมั่นของคนก็จะลดน้อยลงไป ความไว้ใจของประชาชนลดน้อยลงไป สมัยป๋าเปรมใครทำอะไรที่เสียหายท่านขยับเลย จัดการด้วย ไม่ต้องรอสังคม ไม่ต้องรอปปช. เพราะครม.ต้องเป็นตัวอย่างของสังคมที่มีจริยธรรมที่ดี สมัยป๋าเปรมทำงานจริงจังมากกว่ายุคนี้ แล้วเป็นคนที่แฟร์ ไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไรกับสื่อ แล้วสื่อก็แฟร์กับท่าน”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า กรณีของ พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่ปัญหาวาทะกรรม หรือปัญหาเล็กน้อยที่ควรลดราวาศอก แต่มันเป็นปัญหาจริยธรรมของสังคมไทยในระดับจิตสำนึก ในที่นี้มีข้อพิจารณาแยกเป็นสองด้าน
ด้านหนึ่ง คือ ความถูกผิดในข้อบัญญัติทางกฎหมายที่ป.ป.ช.กำลังถูกสังคมจับตาว่า จะดำเนินการตรวจสอบอย่างเที่ยงธรรมได้แค่ไหน และด้านที่สอง คือ ระดับความรับผิดชอบทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของเจ้าตัวเป็นสำคัญ การแข็งขืนเท่ากับเชื่อมั่นในอำนาจว่า จะปกปักรักษาตำแหน่งไว้ได้ แต่นั่น คือ การท้าทายพลังทางจริยธรรมของสังคมไทยครั้งสำคัญ ซึ่งแสดงออกผ่านสื่อทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งวงการสภากาแฟทั่วประเทศ ดังนั้นเวลานี้มี 3 ทางออกเท่านั้น
1.เจ้าของปัญหาแสดงสปิริตลาออกตามเสียงเรียกร้องทั่วไป เท่ากับได้ปลดเครื่องหลังบนบ่าไหล่ของนายกฯ ลง ผ่อนเบาภาระคนอื่นไปได้มาก
2.นายกฯ ใช้มาตรา 44 สั่งพักงานพี่ใหญ่ไว้จนกว่าการตรวจสอบจะประกาศผล
3.ผู้ที่เป็นเจ้าของปัญหาดื้ออยู่ในตำแหน่งต่อไปโดยอ้างว่า รอการตรวจสอบของ ป.ป.ช.
“ผมไม่รู้ว่านายกฯรู้สึกอย่างไรเมื่อคราวใช้มาตรา 44 สั่งปลดอดีตผู้ว่าการ กทม. และนักการเมืองท้องถิ่นหลายตำแหน่งมาแล้ว ขณะที่จำใจต้องเว้นไว้ให้กับคนบางคนท่ามกลางสายตาสาธารณะ หากท่านคิดว่า พลังทางจริยธรรมของสังคมไทยไม่มีคุณค่าอะไร ยังถือว่า ตำแหน่ง อำนาจ บารมี จะคุ้มครองได้ ก็จงเลือกทางที่สาม แล้วจะได้ประจักษ์ว่านาฬิกา 25 เรือนนั้น นอกจากบอกเวลาได้ ยังสามารถบอกหายนะภัยได้ด้วย” นายประสาร กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดประวัติ'เจ้าของนาฬิกาหรู' ซี้ปึ๊กบิ๊กป้อม60ปี-ศิษย์เอกโหรคมช.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี