พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ 5 ข้อ ซัดรัฐบาล-คสช.-หมดความชอบธรรม จี้คืนอำนาจให้ประชาชน
1 ก.พ.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “คสช.และรัฐบาล หมดความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลต่อไป” ระบุว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ แต่ คสช. และรัฐบาลไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประเทศและประชาชนได้ แต่กลับสร้างปัญหาสาคัญที่จะเป็นวิกฤตของชาติในอนาคตต่อไป ซึ่งอาจสรุปได้ ดังนี้
1. ได้ใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ออกประกาศและคำสั่ง จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการ แม้เมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ก็ยังคงคำสั่งและประกาศที่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
2. มีการแต่งตั้งคนของตนเอง เพื่อทำหน้าที่ในองค์กรอิสระและองค์กรต่างๆ ซึ่งทำให้องค์กรต่างๆ ขาดความเป็นอิสระในการทาหน้าที่ และถูกชี้นำโดย คสช. และหัวหน้า คสช.ได้
3. ใช้กลไกที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภามาเป็นฐานอำนาจแก่ตนเองในอนาคต, การเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง, การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, การเขียน พ.ร.ป. พรรคการเมือง และใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อสร้างความอ่อนแอให้พรรคการเมืองเดิม และสร้างความได้เปรียบแก่พรรคการเมืองใหม่ (ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นพรรคที่จะสนับสนุนให้ตนเองได้สืบทอดอำนาจต่อไป)
4. ไม่เคารพและยึดมั่นในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ด้วยการออกคำสั่งที่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของตน แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายพรรคการเมือง นอกจากนั้น ล่าสุดผู้นำ คสช. (พลเอกประวิตร) ได้ออกมาข่มขู่ผู้ที่จะออกมาเรียกร้องให้คืนสิทธิ เสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างว่าขณะนี้ตนเป็นรัฎฐาธิปัตย์ ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แสดงให้เห็นว่าไม่ยอมรับในการมีรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในขณะนี้
5. ไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญของประเทศไทย
5.1 ล้มเหลวในการสร้างความสามัคคีปรองดอง เนื่องจาก คสช.ได้เข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง และกระบวนการสร้างความปรองดองผิดพลาด นำแต่พวกพ้องและเครือข่ายของตนเข้ามาเป็นกรรมการ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและส่วนอื่นๆ
5.2 ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมได้ ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำยังคงเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังขาดกำลังซื้อ แม้จะทุ่มเทงบประมาณไปนับแสนล้านบาท / ปัญหาสังคม การค้ามนุษย์และยาเสพติด รวมถึงปัญหาอาชญากรรมยังคงอยู่อย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น
5.3 ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นได้ ตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศก็มีข่าวเกี่ยวข้องกับการทุจริตอย่างต่อเนื่อง ในฟากฝั่งคนในรัฐบาล ทั้งเรื่องการซื้อไมค์ราคาแพงใช้ในห้องประชุม ครม., อุทยานราชภักดิ์, การจัดซื้อเรือดำน้ำ, ข่าวการทุจริตในโครงการ 9101, การทุจริตใน อผศ., การอนุญาตให้เอกชนใช้พื้นป่าโดยผิดกฎหมาย เป็นต้น เรื่องต่างๆ ดังกล่าว รวมถึงมีกรณีแกนนำ คสช.บางส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง GT200 และ เรือเหาะ ก็ไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง บางเรื่องก็ทำให้จบไปแบบง่ายๆ ล่าสุด เรื่องการครอบครองนาฬิการาคาแพงของพลเอกประวิตร ฯ กว่า 25 เรือนที่พลเอกประยุทธ์ ฯ ก็บอกปัดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว นอกจากนั้น ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกันคือ ใช้อำนาจแทรกแซงการแต่งตั้งกรรมการในองค์กรอิสระบางองค์กร
แม้ว่าจะมีปัญหาขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม โดยกรรมการบางคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำ คสช. ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างกลไกปกป้องพวกพ้องและเครือข่ายของกลุ่มตน ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง
5.4 ปัญหาวิกฤตผู้นำ เห็นว่า หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีมีปัญหาวิกฤตศรัทธาที่ไม่สามารถจะนำพาประเทศต่อไปได้ เนื่องจากเป็นผู้ไม่รักษาคำพูดในเรื่องต่างๆ ดังเช่น
(1) เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2556 ก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร พลเอกประยุทธ์ได้กล่าวยืนยันว่าทหารจะไม่ปฏิวัติ โดยกล่าวว่า ตนและกองทัพต้องอดทนแล้วหาทางออก หาข้อสรุปที่สงบ สันติ เพื่อยุติปัญหา หากทหารปฏิวัติอีกจะเป็นการแก้ปัญหาผิดทาง ปัญหาอื่นๆ จะเกิดขึ้นอีก แล้วประเทศไทยจะยืนอยู่ในสังคมโลกได้อย่างไร แต่พลเอกประยุทธ์ก็ทำการรัฐประหาร เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
(2) เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เห็นว่า คสช. และรัฐบาล ไม่มีความจริงใจที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อจัดการเลือกตั้ง เริ่มจากจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ “ฉบับนายบวรศักดิ์” และถูกคว่ำโดย สปช. อันเป็นหนึ่งในแม่น้ำทั้ง 5 สาย / กำหนดเงื่อนไขและจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลายกร่างยาวนาน แสดงให้เห็นเจตนาของการยืดเวลาเพื่ออยู่ในอำนาจชัดเจน
ที่สาคัญ หัวหน้า คสช. เอง ก็ได้ให้สัญญากับประชาชนและนานาชาติว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่ก็ได้ผิดคำพูดมาโดยตลอด ล่าสุดให้สัญญาว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 แต่กลับมีการยืดเวลาบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 90 วัน ซึ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การเลือกตั้งจะเลื่อนไป และคงไม่เกิดขึ้นก่อนเดือนกุมภาพันธ์ 2562 หรืออาจจะไม่มีในปี 2562 ด้วยซ้ำ การที่มีการเลื่อนการเลือกตั้งไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อหัวหน้า คสช. อย่างรุนแรง
(3) การจำนนต่อหลักฐานว่าตนเองเป็นนักการเมือง นับตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา พลเอกประยุทธ์ได้ปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่องถึง 9 ครั้งว่า ตนไม่ได้เป็นนักการเมือง ขณะเดียวกันก็โจมตีใส่ร้ายนักการเมืองต่างๆ นานา แต่เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 กลับเพิ่งยอมรับว่าตนเองเป็นนักการเมือง และปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ เพื่อหวังกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง
จากข้อเท็จจริงและพฤติกรรมตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น พรรคเพื่อไทย จึงเห็นว่า คสช. และรัฐบาล และแม่น้ำ 5 สาย เข้าข่ายสมคบคิดกัน เพื่อใช้กลไกทางอำนาจและกลไกตามรัฐธรรมนูญที่สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในการได้อยู่ในอำนาจต่อไป มีการโกงกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้อง ผิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อนานาชาติและประชาชน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ คสช. และรัฐบาลหมดความชอบธรรม และสี่ปีของการยึดอำนาจการปกครอง ได้พิสูจน์ให้คนไทยและสังคมโลกเห็นอีกครั้งแล้วว่า การรัฐประหารโดยล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่อาจแก้ไขปัญหาของประเทศได้ ในทางตรงกันข้ามกลับจะสร้างปัญหา และผลกระทบต่อประเทศในวงกว้าง ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดของ คสช.ในขณะนี้ คือ การคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี