9 ก.พ.61 ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจการแก้พรรคการเมืองครั้งที่ 1/2561 เรื่องกระบวนการและขั้นตอนการเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งจะมีการชี้แจงแนวทางการจัดตั้งพรรคการเมือง กระบวนการและขั้นตอนเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมือง หลักการของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 โดยในการประชุมดังกล่าวมีกลุ่มการเมืองที่สนใจจะจัดตั้งพรรคการเมืองเข้าร่วม 114 กลุ่ม ประมาณ 291 คน และมีผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์จำนวนมาก รวมแล้วมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 400 คน
โดย นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า กระบวนการจัดตั้งพรรคการเมืองตามกฎหมายใหม่มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้น กกต.จึงมีนโยบายอำนวยความสะดวกให้การจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นไปโดยสำเร็จลุล่วง ไม่มีปัญหาอุปสรรคในข้อกฎหมาย เพราะเราตระหนักดีว่าพรรคการเมืองมีความสำคัญ เห็นได้จากรัฐธรรมนูญทุกฉบับในระยะหลังล้วนมีบทบัญญัติที่เน้นการสร้างหรือพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองอย่างแท้จริง ทั้งนี้ พรรคการเมือง นักการเมือง และประชาชน ล้วนปฏิสัมพันธ์กัน หากพรรคการเมืองมีคุณภาพก็จะส่งผลให้นักการเมืองพัฒนาตนไปในทางที่ดี และจะส่งผลให้ประชาชนมีพัฒนาการทางการเมืองที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้งผู้ถูกกว่าร้ายตลอดมาก็คือนักการเมืองและพรรคการเมือง แต่ขณะนี้เราอยู่ในบรรยากาศการปฏิรูปการเมือง บรรยากาศในวันนี้เราเห็นแสงสว่างรำไรของถนนประชาธิปไตยที่มั่นคง ซึ่งก็เป็นความหวังและน่ายินดี แต่ก็มีหลายคนเตือนว่าแสงสว่างรำไรที่เห็นอาจจะเป็นภาพลวงตา แต่ตนเห็นว่าไม่ใช่ภาพลวงตาเพียงแต่เราไม่มีความสามารถที่จะกะระยะได้แน่นอนว่ากว่าจะเดินถึงจุดแสงสว่างนั้น จะต้องใช้เวลากี่วัน กี่คืน และกี่ปี
ด้าน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวถึงแนวทางการจัดตั้งพรรคการเมือง ว่า ความเปลี่ยนแปลงของพรรคการเมืองตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่เห็นได้ชัดคือความเปลี่ยนแปลงเรื่องกรอบความคิดที่ต้องการให้พรรคการเมืองเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำหนดนโยบายและส่งผู้สมัคร ขณะที่คุณสมบัติของสมาชิกพรรคการเมืองเรียกได้ว่าเกือบเท่าคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเลย ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติที่เพิ่มเติมขึ้นจากเดิม
ดังนั้น พรรคที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่จะต้องดูคุณสมบัติของสมาชิกพรรคให้ดี ตลอดจนเรื่องทุนประเดิมพรรค ค่าธรรมเนียมพรรค และการจัดตั้งสาขาพรรค ที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามตามกฎหมายใหม่นี้พรรคการเมืองจะต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะการทำข้อบังคับพรรคที่จะมีผลเลยหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคมีมติรับรอง โดยจะไม่ผ่านการตรวจสอบของนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้วสงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเหมือนที่ผ่านมา
ดังนั้น พรรคจะต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น หากข้อบังคับพรรคหรืออุดมการณ์พรรคเป็นการล้มล้างการปกครองก็จะทำให้ถูกยุบพรรค นอกจากนั้นพรรคจะต้องกำกับดูแลสมาชิกพรรค หากสมาชิกพรรคไม่ทำตามกฎหมายกรรมการบริหารพรรคก็จะถูกแบน และจะต้องเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจัดประชุมชี้แจงบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบใหม่ครั้งนี้ มี นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายนิกร จำนง แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะกรรมการพัฒนาพรรคการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ขณะที่กลุ่มการเมืองที่สนใจตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่น่าสนใจ อาทิ กลุ่มเพื่อชาติไทย นำโดย นางอัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร ภรรยาคนสุดท้ายของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หรือบิ๊กจ๊อด อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และอดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. , กลุ่มพลังพลเมือง นำโดย นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และกลุ่มไทยศรีวิไลย์ นำโดย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ และนายณัชพล สุพัฒนะ หรือมาร์คพิทบูล
โดย นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเป็นสังเกตการณ์การเมืองมาร่วม 10 ปี วันนี้จึงอยากมาสู้ในระบบ และคิดว่าเราเป็นคนรุ่นใหม่อยากมารับช่วงต่อจาก คสช.ที่ดูแลบ้านเมืองมาแล้ว 4 ปี นโยบายของกลุ่มไทยศิวิไลย์เน้นเรื่องของการแก้ไขปัญหาทุจริต การลดความขัดแย้ง โดยทางกลุ่มจะส่งผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่ลงสมัครครบทั้ง 350 เขต ส่วนผู้ที่จะเป็นนายกฯพรรคก็ไม่ได้ต่อต้านนายกฯคนนอก ถ้าถึงเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้รับการเสนอชื่อและประชาชนยังให้การสนับสนุนพรรคก็พร้อมสนับสนุน แต่ถ้าหากประชาชนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เองก็ควรที่จะเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้ไปทำหน้าที่
ด้าน นางอัมพาพันธ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการตั้งพรรคเพื่ออยากเชื่อมแนวคิดของกลุ่มคนที่ปฏิวัติกับการเมืองให้ประสานสองฝ่ายนี้กันได้ ซึ่งจะเป็นแนวคิดที่ยุติความขัดแย้ง ส่วนเรื่องการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯ ต้องดูแนวทางที่มาว่าถูกต้องตามกฎหมายหรืไม่ ถ้าคุณเป็นทหารแล้วมาในแนวทางที่ถูกต้องเราก็สนับสนุนได้
ส่วน นายสัมพันธ์ กล่าวว่า จะนำแนวทางการจัดตั้งพรรคใหม่ที่ทาง กกต.เสนอในวันนี้ ไปดำเนินการรางกลุ่มกำลังยกร่างนโยบายของพรรค พรรคจะชูการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ลดความเหลื่อมล้ำ ยอมรับว่ากฎเกณฑ์กติกาใหม่ที่ออกมามีความยุ่งยากพอสมควร แต่คนที่เป็นนักการเมืองมาก่อนมีประสบการณ์มา และมีความตั้งใจสามารถที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านั้นได้ อีกทั้งเห็นว่าหลักเกณฑ์ใหม่บางเรื่องเป็นผลดี เช่น ให้พรรคมีทุนประเดิม สมาชิกพรรคต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทำให้พรรคมีทุนในการที่จะพัฒนาพรรค ส่วนเรื่องการสนับสนุนนายกฯในเมื่อรัฐธรรมนูญเปิดช่องก็สามารถที่จะสนับสนุนได้ทั้งนายกฯคนนอกและนายกฯ ที่เป็น ส.ส.ซึ่งคิดว่าประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก การจะเลือกใครเป็นนายกฯกลุ่มคิดว่าเอาที่เป็นคนดีมีสามารถ แต่ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะเสนอ เพราะยังไม่ได้เป็นพรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำถามส่วนใหญ่ของกลุ่มการเมืองเป็นไปในส่วนของรายละเอียดการดำเนินการจัดตั้งพรรค ทั้งเรื่องเงินทุนประเดิมจัดตั้งพรรคการเมือง และเงินบำรุงพรรค ที่หลายคนยังสับสนว่าเป็นเงินส่วนเดียวกันหรือไม่ ซึ่งทาง กกต.ก็ชี้แจงว่าเงินทั้งสองส่วนเป็นคนละส่วนกัน ไม่สามารถนำเงินทุนประเดิมมาใช้เป็นเงินในการจ่ายค่าบำรุงพรรคได้ ส่วนความสงสัยเรื่องการตั้งสาขาพรรค 4 สาขานั้น ทาง กกต.ชี้แจงว่าแม้ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 145 จะกำหนดว่ามีสาขาใน 1 จังหวัด ก็สามารถส่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งในจังหวัดนั้นได้ แต่จะส่งผู้สมัครทั้งประเทศไม่ได้ แต่หากตามบทบัญญัติตามปกติพรรคที่มีความประสงค์จะส่งผู้สมัครแบบเขตทั้ง 350 เขต ก็จะต้องมีการตั้งสาขาพรรคทั้ง 350 สาขา นอกจากนั้นยังมีคำถามเรื่องการตั้งชื่อพรรคซึ่งบางคนสนใจที่จะนำเอาชื่อชาติพันธุ์มาตั้งเป็นชื่อพรรค แต่ทาง กกต.ชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะการใช้ชื่อของชาติพันธุ์มาตั้งเป็นชื่อพรรคนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และอาจจะก่อให้เกิดการแบ่งแยกของคนในสังคมขึ้นได้ ขณะที่ตัวแทนกลุ่มการเมืองหลายรายเรียกร้องให้ กกต.เป็นคนประสานงานกับ คสช.เพื่อให้พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่สามารถประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคครั้งแรกได้ แทนที่จะให้แต่ละพรรคต้องเป็นคนขออนุญาตเอง แต่ทาง กกต.ยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆจะต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด โดยพรรคการเมืองจะต้องเป็นคนขออนุญาตเอง
นอกจากนั้น มีตัวแทนกลุ่มการเมืองจำนวนหนึ่งสอบถามถึงความชัดเจนเรื่องวันเวลาในการจัดการเลือกตั้ง หรือการประกาศเขตเลือกตั้ง โดยทาง กกต.ชี้แจงว่าทั้ง 2 เรื่อง ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะจะต้องรอดูตามประกาศ คสช.ที่ 53/2560 ตามข้อ 7 ซึ่งหัวหน้าคสช.อาจจะมีการเรียน กกต.รวมทั้งพรรคการเมืองไปให้ความเห็น ซึ่งตรงนี้เป็นโรดแมปที่แท้จริงของการเลือกตั้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี