20 ก.พ.61 เวลา 09.00 น.ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดย วิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง พ.ศ. .... และร่าง กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการวางหลักประกันการ ประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
3.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. ....
4.เรื่อง ร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
5.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ-สังคม
6.เรื่อง แผนงานโครงการขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐที่จะขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan: SAL)
7.รื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
(ท่านสามารถดาวน์โหลดมติผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561)
ด้วยการสแกน QR Code
ต่างประเทศ
8.เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของมูลนิธิศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center - ADPC) เป็นองค์กรระหว่างประเทศ (ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. ....)
9.เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ
10.เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (เซิร์น) และราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูง
11.เรื่อง ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6
12.เรื่อง ความช่วยเหลือให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น Grant Aid “Economic and Social Development Programme” (Counterterrorism and Public security)
แต่งตั้ง
13.เรื่อง รัฐบาลราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ)
14.เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ)
15.เรื่อง แจ้งรายชื่อโฆษกกระทรวงพาณิชย์และรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์
16.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
17.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร.0-2288-4396
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้มีคณะกรรมการอัยการ ประกอบด้วย ประธาน ก.อ.ซึ่งต้องไม่เป็นพนักงานอัยการ อัยการสูงสุดเป็นรองประธาน รองอัยการสูงสุดตามลำดับอาวุโส จำนวน 4 คน เป็นกรรมการอัยการโดยตำแหน่ง กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 คน และอธิบดีอัยการ สำนักงานคณะกรรมการอัยการ เป็นกรรมการอัยการโดยตำแหน่ง และเป็นเลขานุการ ก.อ.
2. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของประธาน ก.อ.และกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นบุคคลภายนอก
3. กำหนดให้มีการเลือกประธาน ก.อ.และกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยห้ามกระทำการอันใดมีลักษณะเป็นการหาเสียง
4. กำหนดให้ประธาน ก.อ.และกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี และดำรงตำแหน่งได้วาระเดียว
5. แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้ข้าราชการอัยการต้องไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐในทำนองเดียวกัน และไม่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ ที่ปรึกษากฎหมาย หรือดำรงตำแหน่งอื่นใดในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือกิจการอื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกับห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่มีวัตถุประสงค์มุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นที่ปรึกษาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
2.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการวางหลักประกันการประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการวางหลักประกันการประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สคบ.เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลใช้บังคับ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 ได้บัญญัตินิยามคำว่า “ตลาดแบบตรง” หมายความว่า การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทาง และมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงนั้น ส่วนการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ประกอบกับมาตรา 38/5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้บัญญัติให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงหรือตลาดแบบตรงต้องวางหลักประกันต่อนายทะเบียนเพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ดังนั้น จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าวรวม 2 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับการบังคับใช้กฎหมาย จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงหรือตลาดแบบตรง ต้องวางหลักประกันต่อนายทะเบียนเพื่อมิให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและเป็นบุคคลธรรมดา และเพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 อันจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคที่อาจได้รับความเสียหายจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรง หรือผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการชดใช้ค่าเสียหายอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอกระบวนการทางศาล ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงขนาดหรือประเภทของการประกอบธุรกิจ ซึ่งร่างกฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรงตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 แล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การขายสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากการขายสินค้า หรือให้บริการ ต่ำกว่า 1,800,000 บาทต่อปี และการขายสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบธุรกิจที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เป็นการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการวางหลักประกันการประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
2.1 กำหนดให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจการขายตรงและตลาดแบบตรงวางหลักประกันต่อนายทะเบียน ณ สคบ. ตามแบบที่คณะกรรมการประกาศกำหนดสำหรับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักประกันให้ผู้วางหลักประกันขอรับคืนหลักประกันเดิม และวางหลักประกันใหม่ตามวงเงินหลักประกันเดิม ถ้าเอกสารและหลักฐานครบถ้วนถูกต้องและวางหลักประกันครบถ้วนแล้ว ให้นายทะเบียนมีคำสั่งรับทราบการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และให้นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาบังคับใช้ในกรณีที่มีการโอนกิจการด้วย
2.2 กำหนดให้การพิจารณาวงเงินหลักประกันเป็นไปตามขนาดการประกอบธุรกิจ ดังนี้
การประกอบธุรกิจ |
ขนาด |
หลักประกัน (บาท) |
การยื่นคำขอการประกอบธุรกิจขายตรง |
- เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายไม่เกิน 25 ล้านบาทต่อปี - เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายตั้งแต่ 25 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี - เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายเกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี - เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายเกิน 100 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป |
25,000 50,000
100,000
200,000 |
การยื่นคำขอการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง |
- กรณีบุคคลธรรมดา - กรณีห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท - กรณีบุคคลธรรมดา เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายไม่เกิน 25 ล้านบาทต่อปี - กรณีห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายไม่เกิน 25 ล้านบาทต่อปี - เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายตั้งแต่ 25 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี - เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายเกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี - เมื่อมีรายได้ก่อนหักรายจ่ายเกิน 100 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป |
5,000 25,000 5,000
25,000
50,000
100,000
200,000 |
3.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
กษ.เสนอว่า
1. ได้มีกฎกระทรวงกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. 2559 เพื่อกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 แต่เนื่องจากสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป จึงควรมีการปรับปรุงกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมเสียใหม่ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีคุณภาพ นอกจากนี้ มาตรา 6 และมาตรา 76 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือลักษณะของสัตว์น้ำ หรือประเภท รูปแบบ ขนาด หรือวัตถุประสงค์ของกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม จึงสมควรกำหนดขอบเขตพื้นที่ในการควบคุมเพิ่มเติม และกำหนดชนิดพันธุ์สัตว์น้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรืออันตรายต่อผู้บริโภคหรือต่อกิจการของบุคคลอื่น
2. คณะกรรมการกำกับดูแลการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมในคราวประชุมครั้งที่ 4/2560 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. 2559
2. กำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมขึ้นใหม่ ดังนี้
กิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามกฎกระทรวงกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. 2559 |
กิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมตามร่างกฎกระทรวงฯ ที่ กษ. เสนอ |
(1) การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล
(2) การเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือ กุ้งเครย์ฟิชอเมริกัน (Procambarus clarkii) (3) การเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือ กุ้งเครย์ฟิชทุกชนิดในสกุล Cherax (Cherax spp.) (4) การเพาะเลี้ยงจระเข้ (5) การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชัง
(6) การเพาะเลี้ยงหอยทะเล |
(1) การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลในพื้นที่ชายฝั่ง ตามรายการประกอบแผนที่จังหวัดแนบท้ายประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะหรือออกสู่สิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2548 (2) การเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช (Crayfish) ทุกชนิด
(3) การเพาะเลี้ยงจระเข้ทุกชนิดในอันดับ CROCODYLIA (4) การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังในที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (5) การเพาะเลี้ยงหอยทะเลในพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน |
4.เรื่อง ร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ.
กำหนดให้สายงานวิศวกรรมรังวัด ระดับเชี่ยวชาญ เป็นสายงานและระดับที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการ
5.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปทางการศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และมอบหมายให้หน่วยงานและกองทุนอื่น ๆ ตามกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องตามนัยมาตรา 6 ของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. สถานะและวัตถุประสงค์ของกองทุน (1) ให้กองทุนเป็นหน่วยงานของรัฐและมีฐานะเป็นนิติบุคคล (2) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิที่จะรับและเข้าถึงการศึกษาและพัฒนาอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและเยาวชนซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์จนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน และศึกษา วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
2. เงินและทรัพย์สินของกองทุน (1) เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาจากเงินงบประมาณของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเฉพาะในส่วนสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (2) เงินที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นทุนประเดิม 1,000 ล้านบาท (3) เงินรายปีที่ได้รับจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตามที่ ครม.กำหนด (4) เงินและทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ (5) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี ตามแผนการใช้เงินที่คณะกรรมการและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้รัฐบาลจัดสรรให้เพียงพอตามแผนการใช้เงิน
3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี ผู้บริจาคเงินให้แก่กองทุนมีสิทธินำจำนวนเงินที่บริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อนหรือรายจ่ายเช่นเดียวกับการบริจาคเพื่อการศึกษาตามประมวลรัษฎากร
4. ขอบเขตการใช้จ่ายของกองทุน ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส โดยอาจดำเนินการโดยวิธีการให้เปล่า ให้ยืม หรือให้กู้ยืมก็ได้
5. คณะกรรมการบริหารกองทุน และสำนักงานกองทุน ให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุน ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และแนวทางการดำเนินงานของกองทุน โดยมีสำนักงานกองทุนทำหน้าที่ในการดำเนินงานของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน
6. การกำกับและดูแล นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับและดูแลการดำเนินกิจการของกองทุน ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล และมติคณะรัฐมนตรี
เศรษฐกิจ-สังคม
6.เรื่อง แผนงานโครงการขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐที่จะขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan: SAL)
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนงานโครงการขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐที่จะขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan: SAL) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการ Thailand Gateway ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
2. เห็นชอบในหลักการให้กันวงเงินกู้ SAL ที่เหลือ จำนวน 800 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ 2 ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ (Citizen Feedback) 2) การพัฒนาระบบติดตามการให้บริการ (Tracking System) และ 3) การพัฒนาระบบการจองคิวกลาง (Queue Online) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังในส่วนที่เกี่ยวข้อง และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
7.เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 (เรื่อง ร่างมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น) เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากกการดำเนินงานให้ดำเนินการในลักษณะบูรณาการ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณต่อไปตามความความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ ทส.รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย รวมทั้ง ให้ ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นให้แก่สาธารณชนทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เป็นพาหะของโรค มีอันตรายต่อชีวิตมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส.รายงานว่า
1. มาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (พืช สัตว์ จุลินทรีย์) ที่รุกรานเข้ามาแล้วและยังไม่เข้ามาในประเทศไทยที่มีอยู่เดิมไม่ครอบคลุมการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่น และชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานประเทศไทยในปัจจุบันและแนวทางการดำเนินการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในระดับนานาชาติ ทส. จึงได้ปรับปรุงมาตรการและแนวทางปฏิบัติใหม่โดยเพิ่มเติมแนวทางปฏิบัติสำหรับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ถูกระบุว่าเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สามารถส่งเสริมในเชิงเศรษฐกิจได้ รวมถึงการปรับปรุงทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกัน ควบคุม กำจัดของประเทศไทย รายการที่ 1 - 4 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมทั้งเพิ่มเติมแนวทางการควบคุมหรือกำจัดชนิดพันธุ์ที่มีลำดับความสำคัญสูง ทั้งนี้ เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามขั้นตอนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. (ร่าง) มาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังนี้ มาตรการที่ 1 กำหนดนโยบาย แผน กฎหมาย และงบประมาณ มาตรการที 2 การบริหารจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่น มาตรการที่ 3. การเฝ้าระวังและติดตามชนิดพันธุ์ต่างถิ่น มาตรการที่ 4. การสนับสนุนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น มาตรการที่ 5 การเผยแพร่ สร้างความตระหนักและให้ความรู้ในเรื่องของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
3. (ร่าง) แนวทางการควบคุมหรือกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีลำดับความสำคัญสูงของประเทศไทย จำแนกเป็น (1 ) ชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่นที่มีลำดับความสำคัญสูง จำนวน 11 ชนิด ได้แก่ ไมยราบยักษ์ หญ้าขจรจบดอกเล็ก หญ้าขจรจบดอกใหญ่ หญ้าขจรจบดอกเหลือง ผักตบชวา จอมหูหนูยักษ์ กระถินหางกระรอก ขี้ไก่ย่าน ต้นสาบหมา กกช้าง และธูปฤาษี และ ( 2 ) ชนิดพันธุ์สัตว์ต่างถิ่นที่มีลำดับความสำคัญสูง จำนวน 12 ชนิด ได้แก่ ไส้เดือนฝอยรากปม แมงมุมแม่หม้ายสีน้ำตาล หอยทากยักษ์แอฟริกา หอยเชอรี่ หอยเชอรี่ยักษ์ ปลากดเกราะหรือ ปลาซัคเกอร์ฯ ปลาหมอสีคางดำ ปลาหมอมายัน เต่าแก้มแดง และหนูท่อ มีแนวทางปฏิบัติ 4 แนวทาง ดังนี้
3.1 จัดทำทะเบียนจัดลำดับความสำคัญและกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันควบคุมกำจัดและ/หรือใช้ประโยชน์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นและชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในพื้นที่อนุรักษ์พื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและในระบบนิเวศต่าง ๆ
3.2 รวบรวมศึกษาวิเคราะห์ เส้นทางและ/หรือวิธีการที่สำคัญในการแพร่ระบาดของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามาในประเทศไทย การประเมินความเสี่ยงและดำเนินมาตรการในการจัดการเส้นทางและ/หรือวิธีการแพร่ระบาด
3.3 ส่งเสริมการศึกษาวิจัยด้านการนำชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานหรือมีแนวโน้มรุกรานไปใช้ประโยชน์
3.4 เผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นและเสริมสร้างสมรรถนะให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนให้สามารถให้ข้อมูล ตรวจสอบ ป้องกัน เฝ้าระวัง ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเส้นทางการเข้ามาของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น และการลักลอบนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
ต่างประเทศ
8.เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของมูลนิธิศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center - ADPC) เป็นองค์กรระหว่างประเทศ (ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. ....)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
ทั้งนี้ มอบหมายให้ กต.จัดทำสัตยาบันสารเพื่อให้กฎบัตรฯ มีผลผูกพันต่อไป โดยให้ยื่นสัตยาบันสารเมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ ได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว และมอบหมายให้ กต.รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กำหนดให้มีการจัดตั้งศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย เรียกโดยย่อว่า “ADPC” เป็นองค์การระดับภูมิภาคที่เป็นอิสระ ไม่แสวงหาผลกำไร มีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ มีการจัดการ การจัดสรรเจ้าหน้าที่ และการดำเนินการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยมีความมุ่งหมายในด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา การพัฒนา และมนุษยธรรมและให้ ADPC มีที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางเตรียมความพร้อมสำหรับการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่มีต่อชุมชนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยกำหนดให้ภาคีผู้ลงนามกฎบัตรฯ (ซึ่งประกอบด้วย ไทย กัมพูชา จีน ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และอินเดีย) เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง ADPC โดยสมาชิกไม่ต้องจ่ายค่าสมาชิก แต่อาจบริจาคให้กองทุนของ ADPC โดยสมัครใจ ทั้งนี้ กฎบัตรฯ จะยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่ารัฐภาคีผู้ลงนามก่อตั้งจะให้สัตยาบันครบทุกประเทศ (ขณะนี้เหลือเพียงประเทศไทยที่ยังมิได้ให้สัตยาบัน) และเมื่อกฎบัตรฯ มีผลใช้บังคับ ศูนย์ฯ จึงจะสามารถเปลี่ยนสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศ
แห่งเอเชีย พ.ศ. ....
ชาวต่างประเทศที่ศูนย์แต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ หรือได้รับเชิญอย่างเป็นทางการให้มาปฏิบัติงานให้แก่ศูนย์ได้รับเอกสิทธิ์ และความคุ้มกันตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 รวมทั้งความตกลงในเรื่องเอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่จะทำกันต่อไประหว่างรัฐบาลไทยกับศูนย์ฯ ภายใต้กรอบแห่งกฎบัตรของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชียดังกล่าวและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
9.เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ
3. มอบหมายให้ กต.จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
4. อนุมัติในหลักการให้ กต.มีหนังสือแจ้งฝ่ายโมซัมบิกเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป
5. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
กต.รายงานว่า
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ฝ่ายไทยได้เสนอร่างความตกลงฯ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการให้ฝ่ายโมซัมบิกพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนร่างโต้ตอบความตกลงฯ ระหว่างกันมาโดยตลอด และในเดือนมิถุนายน 2560 ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่างความตกลงฯ ร่วมกัน โดย กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ได้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำในร่างความตกลงฯ และได้ถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง ซึ่งทุกหน่วยงานไม่มีข้อขัดข้องต่อการจัดทำความตกลงดังกล่าว โดยร่างความตกลงฉบับนี้ มีสาระสำคัญเหมือนฉบับเดิมที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 เช่น การยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า - ออก - เดินทางผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งโดยได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ตามปฏิทินนับจากวันเดินทางเข้ามา ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่มีส่วนร่วมในการทำงาน การทำธุรกิจและการทำกิจกรรมอื่นที่มีค่าตอบแทน รวมถึงการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่เป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูต หรือทางกงสุล หรือผู้แทนของแต่ละฝ่ายในองค์การระหว่างประเทศที่อยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของบุคคลเหล่านั้นของแต่ละฝ่ายมีสิทธิเดินทางเข้า - ออก หรือพำนักในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งโดยได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน และสามารถขยายไปจนสิ้นสุดวาระการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลเหล่านั้นเมื่อมีคำร้องขอจากจากกระทรวงการต่างประเทศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งความตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 60 นับจากวันที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายโดยภาคีคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จำเป็นของตนเพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับแล้ว
10.ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (เซิร์น) และราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (เซิร์น) (The European Organization for Nuclear Research: CERN)และราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้ วท.หารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงความร่วมมือดังกล่าว
3. มอบหมายให้ กต.จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
สาระสำคัญของเรื่อง
วท.รายงานว่า
1. เซิร์นก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1954 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครเจนีวาสมาพันธรัฐสวิส มีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้มาใช้เครื่องเร่งอนุภาคและโครงสร้างพื้นฐานอื่นสำหรับงานวิจัยฟิสิกส์พลังงานสูง โดยประเทศไทยมีความร่วมมือทางวิชาการกับเซิร์นมาอย่างต่อเนื่องด้วยพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนาชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งในระหว่างปี 2543 - 2558 ได้ทรงนำคณะนักวิทยาศาสตร์ไทยไปเยือนเซิร์นถึง 5 ครั้ง รวมทั้งมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับหน่วยงาน/สถานีวิจัยของเซิร์นด้วย
2. การดำเนินงานความร่วมมือกับเซิร์นดำเนินงานภายใต้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานกรรมการมูลนิธิและมี สวทช.เป็นฝ่ายเลขานุการ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน การดำเนินความร่วมมือระหว่างไทยกับเซิร์นได้ขยายกว้างขวางขึ้น มีหน่วยงานเข้าร่วม จำนวน 13 แห่ง และมีโครงการความร่วมมือ จำนวน 6 โครงการ
3. ร่างความตกลงความร่วมมือดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนารมณ์และกำหนดกรอบของความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศไทยกับเซิร์น เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคของไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยต่างๆ ของเซิร์นภายใต้พื้นฐานของการได้รับประโยชน์ร่วมกัน (mutual benefit) โดยไทยจะสนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิค จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ ได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยของเซิร์น ในสาขาที่สถาบันของไทยมีความเชี่ยวชาญ รวมถึงสาขาฟิสิกส์เชิงทฤษฎีและฟิสิกส์เชิงทดลอง วิศวกรรมด้านเครื่องเร่งอนุภาคและเครื่องตรวจวัด และการคำนวณ โดยเซิร์นจะเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคของไทยสามารถสมัครเข้ารับการพิจารณาเป็น Association Member ของเซิร์น ทำงานวิจัยที่เซิร์นโดยเซิร์นอาจพิจารณาให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในระหว่างที่ปฏิบัติงานที่เซิร์นด้วย
11.เรื่อง ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6
2. หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้ พณ. และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 รวมถึงเอกสารอื่นๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี)
4. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย - กัมพูชา
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ.รายงานว่า
1. ไทยและกัมพูชามีกลไกสำคัญในการหารือด้านการค้าระดับทวิภาคี คือ การจัดประชุม JTC ไทย - กัมพูชาซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมไปแล้ว 5 ครั้ง ล่าสุดกัมพูชามีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JTC ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 ในวันที่ 21 - 22 กุมภาพันธ์ 2561 ณ กรุงพนมเปญ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาเป็นประธานร่วม
2. การประชุม JTC ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 เป็นเวทีการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีการค้า เกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย - กัมพูชา และแนวทางจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน เช่น การกำหนดเป้าหมายการค้า การส่งเสริมการค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การจัดงาน CLMVT Forum 2018 รวมทั้ง การพิจารณาหาแนวทางความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างกัน เป็นต้น
12.เรื่อง ความช่วยเหลือให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น Grant Aid “Economic and Social Development Programme” (Counterterrorism and Public security)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
และ Precord of Discussions (RD)
EN, AM และ RD
ระหว่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามในเอกสาร EN และ AM
ก่อนการลงนาม ให้สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
สาระสำคัญของร่างเอกสารที่จะต้องลงนามมี 3 ฉบับ ดังนี้
เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น แบบให้เปล่าจำนวน 200 ล้านเยน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลไทย โดยดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและความเหมาะสมด้านงบประมาณของญี่ปุ่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลทั้งสอง ดังนี้
2.1 รายการของผลิตภัณฑ์ และ/หรือ บริการ และแหล่งประเทศที่เหมาะสม ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม 1) อุปกรณ์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการต่อต้านการก่อนการร้ายและความมั่นคงแห่งรัฐ 2) อุปกรณ์และวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงแห่งรัฐ)
- บริการที่เหมาะสม 1) บริการที่จำเป็นสำหรับการจัดซื้อ และการขนส่งผลิตภัณฑ์ข้างต้น 2) บริการฝึกอบรม และบริการอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการต่อต้านการก่อการร้าย และความมั่นคงแห่งรัฐ 3) บริการให้คำปรึกษา
- แหล่งประเทศที่เหมาะสม (ประเทศญี่ปุ่น เว้นแต่จะตกลงร่วมกันเป็นอย่างอื่น)
2.2 การจัดซื้อ/จัดหา
รัฐบาลไทบจะจัดทำสัญญาจ้าง Japan International Cooperation systems (JICS) ภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ AM มีผลบังคับใช้ เพื่อเป็นตัวแทนกระทำการในนามของรัฐบาลไทยในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์/บริการจะต้องจัดซื้อตามแนวปฏิบัติการจัดซื้อ ซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลญี่ปุ่นเกี่ยวกับกระบวนการเปิดประมูลยกเว้นกระบวนการนั้น ๆ ไม่เหมาะสม
3. ร่างเอกสาร RD เป็นเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการที่จำเป็นของฝ่ายไทยเพื่อป้องกันการทุจริตในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องตามร่าง EN และ AM และหากพบว่ามีการกระทำที่เป็นการทุจริตรัฐบาลไทยจะคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่น
แต่งตั้ง
13.เรื่อง รัฐบาลราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรณีรัฐบาลราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์มีความประสงค์ขอแต่งตั้ง นายเกส ปีเตอร์ ราเดอ (Mr. Kees Pieter Rade) ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายกาเริล โยฮันเนิส ฮาร์โตค (Mr. Karel Johannes Hartogh) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
14.เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอการแต่งตั้ง นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งโฆษก สลค.แทน นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
15.เรื่อง แจ้งรายชื่อโฆษกกระทรวงพาณิชย์และรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอการแต่งตั้งโฆษก พณ.และ รองโฆษก พณ.ซึ่ง พณ.ได้มีการเปลี่ยนแปลงโฆษก พณ.จากเดิม นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร เป็น นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ และเปลี่ยนแปลงรองโฆษก พณ.จากเดิม นางสาวรัตนา เธียรวิศิษฎ์สกุล และนางสาววิไลวรรณ ทัพวงศ์ศรี เป็น นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ เพื่อให้การดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
16.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แทน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ที่ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป
17.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นางสาวจงจิตร์ นีรนาทเมธีกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี