วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ชุดยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ชุดยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นการปรับปรุงบทนิยามการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
การกำหนดทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทหลักทรัพย์ กำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทที่รัฐมนตรีกำหนดเพิ่มเติม เพิ่มเติมอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ปรับปรุงช่องทางและวิธีการใช้สิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุน ปรับปรุงองค์ประกอบ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการ ปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกกรรมการของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และปรับปรุงอำนาจหน้าที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. รวมทั้งกำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาตลาดทุนและส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนปรับปรุงบทกำหนดโทษและการเปรียบเทียบความผิด
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ผู้พิพากษาย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีดังกล่าวย่อมได้รับความคุ้มกัน
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ กรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน ซึ่งเลือกจากข้าราชการตุลาการในศาลฎีกา จำนวน 6 คน ศาลชั้นอุทธรณ์ จำนวน 4 คน และศาลชั้นต้น จำนวน 2 คน และกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 คน ซึ่งเลือกจากบุคคลที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม
3. กำหนดให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้มีคำสั่งให้เลขานุการคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเลือกกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด
4. กำหนดให้กรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ได้แก่ ไม่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง ตุลาการศาลทหาร ไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าราชการการเมือง เป็นต้น
5. กำหนดให้กรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเข้ารับหน้าที่ โดยให้ประธานศาลฎีกาดำเนินการให้มีการเลือกกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
3. เรื่อง ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481 พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนและพิจารณาจัดสรรในส่วนของอัตรากำลังให้กับกรมเจ้าท่า ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกำหนด
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “เรือประมง” และ “เรือขนถ่ายสัตว์น้ำ” เพื่อให้สอดคล้องกับความหมายตามกฎหมายว่าด้วยการประมง และสอดคล้องกับระบบการจดทะเบียนเรือไทยที่กรมเจ้าท่าปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน
2. กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการทางทะเบียนเกี่ยวกับเรือประมงและเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ
3. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจประกาศงดการจดทะเบียนเรือประมงเป็นการชั่วคราวครั้งละไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องควบคุมจำนวนเรือประมงเพื่อประโยชน์ในการป้องกันหรือปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
4. กำหนดเหตุในการเพิกถอนทะเบียนเรือไทยและจำหน่ายสมุดทะเบียนเรือไทย
5. กำหนดหน้าที่ของเจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือประมงที่ถูกเพิกถอนทะเบียนเรือไทยจะต้องแจ้งจุดจอดเรือเพื่อให้เจ้าท่าดำเนินการติดตั้งเครื่องมือควบคุมเรือไม่ให้เคลื่อนย้ายจากจุดจอดเรือ และห้ามมิให้มีการเคลื่อนย้ายเรือออกจากจุดจอดเรือ ปลด รื้อถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเครื่องมือควบคุมเรือ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่าหรือมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้
6. กำหนดหน้าที่ให้เจ้าท่าต้องจัดให้มีการดูแลรักษาเรือประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำที่ถูกเพิกถอนทะเบียนเรือไทย
7. กำหนดให้การแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือประมงจะต้องมีหนังสือรับรองจากกรมประมงและต้องได้รับอนุมัติแผนดำเนินการจากเจ้าท่าก่อนทำการแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือ และกำหนดให้ในกรณีมีข้อสงสัยว่าจะมีการแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือจริงหรือไม่ ให้เจ้าท่าและเจ้าหน้าที่กรมประมงร่วมกันตรวจสอบ
8. กำหนดให้เจ้าของเรือแจ้งงดใช้เรือประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ หรือเปลี่ยนประเภทเรือต่อนายทะเบียนเรือเพื่อประโยชน์ในการคงไว้ซึ่งทะเบียนเรือ
9. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจของเจ้าท่าในการเปรียบเทียบความผิดกรณีที่มีโทษปรับทางปกครองหรือมีโทษทางอาญาที่เป็นโทษปรับสถานเดียว
10. แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ โทษทางปกครอง และโทษทางอาญา และเพิ่มโทษทางปกครองเพื่อกำหนดมาตรการเพื่อรองรับการกระทำความผิดในส่วนที่เกี่ยวกับเรือประมง
11. กำหนดโทษทางอาญา โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมอัตราโทษทางอาญาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราโทษปรับเพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
12. กำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่ามีอำนาจในการออกระเบียบเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแจ้งกรณีเรือไทยที่ได้จดทะเบียนแล้วสูญหาย ถูกเพลิงไหม้โดยสิ้นเชิง อับปาง ทำลายหรือถูกละทิ้ง และกำหนดให้นายทะเบียนเรือเพิกถอนทะเบียนเรือไทย และจำหน่ายทะเบียนเรือไทยออกจากสมุดทะเบียนเรือไทยเพื่อการปฏิบัติงานของนายทะเบียนเรือมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
13. แก้ไขบทนิยามคำว่า "เรือประมง" ให้หมายความรวมถึงเรือที่มีหรือติดตั้งเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ทำการประมง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำในทางการค้าด้วย
14. กำหนดเพิ่มเติมกรอบที่กรมประมงจะต้องคำนึงถึงในการออกหนังสือรับรองเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอที่ว่าควรออกอนุบัญญัติที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการออกหนังสือรับรอง ให้สอดคล้องกับ Compliance agreement ของ FAO
15. กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงตัวเรือหรือส่วนอื่นของเรือประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำจะต้องมีเจ้าหน้าที่กรมประมงเข้าร่วมดำเนินการกับเจ้าพนักงานตรวจเรือ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบความถูกต้องของการดำเนินการดังกล่าวด้วย
16. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจของรัฐมนตรีในการประกาศงดการจดทะเบียนเรือประมงเป็นการชั่วคราวให้เป็นไปตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ที่ว่าในกรณีมีความจำเป็นต้องควบคุมจำนวนเรือสำหรับการประมงเพื่อประโยชน์ในการป้องกันหรือปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยการประมง หรือเมื่อได้รับแจ้งการงดการออกใบอนุญาตทำการประมง หรือเรือที่ใช้ทำการประมงเกินจำนวนที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติกำหนด ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศงดการจดทะเบียนเรือประมงเป็นการชั่วคราวได้คราวละไม่เกินสองปี
17. กำหนดเพิ่มเติมอำนาจเจ้าท่าในการเข้าไปดำเนินการติดตั้งเครื่องมือควบคุมเรือหรือเครื่องมืออย่างใด ๆ ที่ไม่ให้เรือเคลื่อนจากจุดที่จอด และทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ว่าเรือนั้นถูกเพิกถอนทะเบียนเรือได้ในท่าเรือของเอกชน
18. กำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่ามีอำนาจออกระเบียบเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแจ้งการงดใช้เรือและการเปลี่ยนประเภทเรือ รวมทั้งกำหนดให้การเปลี่ยนประเภทเรือประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำจะต้องมีการดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องจากเจ้าพนักงานตรวจเรือและเจ้าหน้าที่ของกรมประมงก่อนด้วย
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีการและอัตราที่ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลำแม่น้ำต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีการและอัตราที่ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลำแม่น้ำต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการปรับปรุงการกำหนดวิธีการและอัตราค่าตอบแทนที่ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ และใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ำไทยหรือบนชายหาดของทะเลดังกล่าวต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปี
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
พณ. เสนอว่า โดยที่ธนาคารโลกมีข้อเสนอแนะให้ประเทศไทยปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมแบบคงที่ (Flat Rate) และปรับอัตราค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าใช้บริการผ่านระบบ e-Registration เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของธนาคารโลกดังกล่าว สมควรปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสาร พร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. 2549 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวม 3 ฉบับ ได้แก่
1. กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. 2549
2. กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
3. กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการปรับปรุงค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด
เศรษฐกิจ- สังคม
6. เรื่อง การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ประจำปี 2560
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดประจำปี 2560 ในอัตราไม่เกิน 8,386 คน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง และผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด
ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ได้แก่
ประเภท |
ปี 2560 |
||
ผู้ปฏิบัติงาน ด้านยาเสพติด (คน) |
จำนวนอัตราที่ได้รับ บำเหน็จความชอบ (คน) |
คิดเป็นร้อยละ |
|
ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง |
264,480 |
6,612 |
2.5 |
ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด |
354,881 |
1,774 |
0.5 |
รวม |
619,361 |
8,386 |
|
7. เรื่อง การประกาศใช้บังคับมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประกาศใช้บังคับมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
ศร. รายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 219 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย 4 หมวด ดังนี้
1. มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ 1.1ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย 1.2 ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ 1.3 ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน 1.4 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ 1.5 ต้องไม่ขอไม่เรียก ไม่รับทรัพย์สิน ของขวัญของกำนัล หรือประโยชน์อื่นใดที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่เว้นแต่เป็นการรับจากการให้โดยธรรมจรรยา และการรับที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับให้รับได้
2. มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก 2.1 ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม 2.2 ยึดมั่นหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี 2.3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม 2.4 รักษาไว้ซึ่งความลับ รวมทั้งเคารพต่อมติของที่ประชุม และเหตุผลของทุกฝ่ายอย่างเคร่งครัด 2.5 ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงโดยไม่บิดเบือน 2.6 ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายขององค์กร
2.7 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง ไม่ปล่อยปละละเลยหรือยินยอมให้บุคคลในครอบครัวหรือที่อยู่ในกำกับดูแลของตน เรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน 2.8 ไม่คบหาสมาคมกับผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ 2.9 ไม่กระทำการอันมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ
3. จริยธรรมทั่วไป 3.1 ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้ 3.2 อุทิศเวลาแก่ทางราชการ ไม่เบียดบังเวลาราชการ 3.3 ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความเต็มใจ ให้บริการด้วยความรวดเร็ว เสมอภาค ถูกต้อง โปร่งใส ปราศจากอคติ 3.4 ดูแลรักษาและใช้ทรัพยสินของทางราชการอย่างประหยัด คุ้มค่า 3.5 รักษาความลับของทางราชการตามกฎหมาย 3.6 ปฏิบัติ กำกับดูแลหรือบังคับบัญชาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น ให้เป็นไปตามกฏหมายระเบียบ และระบบคุณธรรม
4. การฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม 4.1 การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามในหมวด 2 และหมวด 3 จะถือว่ามีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรง ของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัตินั้น 4.2 การดำเนินการแก่บุคคลตามข้อ 3 (ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี) ว่ากระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมนี้ให้เป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการนั้น
8. เรื่อง การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2561 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้
1. กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2561 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษอีก 1 วันในปี 2561
2. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน
สาระสำคัญของเรื่อง
สลค. รายงานว่า การกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2561 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษอีก 1 วัน จะทำให้มีวันหยุดราชการติดต่อกัน 5 วัน (วันพฤหัสบดีที่ 12 – วันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2561) ทั้งนี้ การมีวันหยุดต่อเนื่องจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสนับสนุนภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ การกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2561 เป็นวันหยุดราชการประจำปี 2561 เพิ่มเป็นกรณีพิเศษดังกล่าว จะทำให้ปี 2561 มีวันหยุดเพิ่ม 1 วัน ซึ่งจะเป็นวันหยุดเพิ่มเติมนอกเหนือจากวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ (วันเสาร์และวันอาทิตย์) และวันหยุดราชการประจำปีที่กำหนดไว้ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดราชการประจำปี 2561 รวมทั้งสิ้น 18 วัน
ต่างประเทศ
9. เรื่อง ร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติฉบับปี ค.ศ. 2018-2021
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. 2018-2021 [The Kingdom of Thailand, Food and Agriculture Organization of the United Nations (FAO) Country Programming Framework (CPF) 2018-2021] และกิจกรรมหรือโครงการ ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างกรอบความร่วมมือ CPF ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ให้ กษ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. เห็นชอบให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ลงนามกรอบความร่วมมือ CPF ฉบับ ปี ค.ศ. 2018-2021 ร่วมกับผู้แทน FAO
สาระสำคัญของเรื่อง
1. FAO เป็นองค์การชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการบริโภคอาหารและมาตรฐานการครองชีพของประชากรในโลกให้ดีขึ้นด้วยความพยายามทุกวิถีทางที่จะพิชิตความยากจน ให้โลกปราศจากความหิวโหยและทุพโภชนาการ รวมถึงการผลิตอาหารให้เพียงพอต่อการบริโภคของประชากรโลกโดยให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิก ผ่านโครงการความร่วมมือทางวิชาการ ตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมา แต่เนื่องจากการให้ความช่วยเหลือเป็นไปตามความต้องการของผู้ให้ คือ FAO มากกว่าที่จะคำนึงถึงความต้องการของประเทศสมาชิก ดังนั้น ในปี 2548 FAO ได้ริเริ่มให้มีการจัดทำกรอบการดำเนินงานระยะปานกลางระหว่างประเทศสมาชิกกับ FAO โดยใช้ชื่อว่า National Medium Term Priority Framework : NMTPF เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินงานความร่วมมือของ FAO เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประเทศสมาชิก โดยไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่เริ่มจัดทำกรอบการดำเนินงานดังกล่าวกับ FAO
2. กษ. ร่วมกับ FAO ประจำประเทศไทย จัดการประชุมหารือระดมความคิดเห็นจากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันยกร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยและ FAO ฉบับปี ค.ศ. 2018-2021 โดยแนวทางการจัดลำดับความสำคัญสูงของความร่วมมือในกรอบความร่วมมือ CPF ฉบับปี ค.ศ. 2018-2021 จะต้องสอดคล้องกับบริบท/แผนพัฒนาประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal : SDGs) กรอบหุ้นส่วนความร่วมมือไทย – สหประชาชาติ (UN-Thailand Partnership Framework : UNPAF) (2017-2021) เพื่อเสนอให้ฝ่าย FAO พิจารณา โดยประเด็นสำคัญสูงของรัฐบาลไทยภายใต้กรอบความร่วมมือ CPF มี 4 ข้อ ดังนี้ ข้อที่ 1 ความปลอดภัยและมาตรฐานอาหารได้รับการปรับปรุงเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคและเพื่อส่งเสริมการค้า ข้อที่ 2 สนับสนุนและเพิ่มโอกาสของการจัดการห่วงโซ่คุณค่าการผลิตสินค้าเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพและอย่างครอบคลุม ข้อที่ 3 ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
10. เรื่อง การเข้าเป็นภาคีพิธีสารแก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามกระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีพิธีสารเกี่ยวกับการแก้ไขข้อ 50 (เอ) ของอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ลงนาม ณ เมืองมอนตริออล เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559 และพิธีสารเกี่ยวกับการแก้ไขข้อ 56 ของอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ลงนาม ณ เมืองมอนตริออล เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559
2. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการจัดทำสัตยาบันสาร (Instrument of Ratification) สำหรับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารทั้งสองฉบับและยื่นต่อเลขาธิการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คค. รายงานว่า พิธีสารเกี่ยวกับการแก้ไขข้อ 50 (เอ) และพิธีสารเกี่ยวกับการแก้ไขข้อ 56 ของอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ เป็นการแก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ค.ศ. 1944 ในข้อกำหนดที่เกี่ยวกับองค์กรสาขาของ ICAO ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสมัชชาสมัยสามัญ ครั้งที่ 39 ของ ICAO ณ เมืองมอนตริออล เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2559 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. พิธีสารเกี่ยวกับการแก้ไขข้อ 50 (เอ) ฯ ระบุถึงความประสงค์ของรัฐภาคีในการเพิ่มจำนวนสมาชิกคณะรัฐมนตรี (Council) จากเดิมจำนวน 36 ประเทศ เป็น 40 ประเทศ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรระดับบริหารซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย แผนงาน และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการบินพลเรือนและการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ โดยคณะรัฐมนตรีประกอบด้วย รัฐภาคีที่ได้รับเลือกตั้งโดยสมัชชา ICAO และอยู่ในวาระคราวละ 3 ปี
2. พิธีสารเกี่ยวกับการแก้ไข ข้อ 56ฯ ระบุถึงความประสงค์ของรัฐภาคีในการเพิ่มจำนวนสมาชิกของคณะกรรมาธิการการเดินอากาศ ( Air Navigation Commission) จากเดิมจำนวน 19 คน เป็น 21 คน ทั้งนี้ คณะกรรมธิการการเดินอากาศจะประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับแต่งตั้ง โดยคณะรัฐมนตรีจากบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์การบินที่เสนอชื่อโดยรัฐภาคีเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่คณะมนตรีเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการเดินอากาศ
ทั้งนี้ พิธีสารทั้งสองฉบับจะเปิดให้ประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือน ระหว่างประเทศ ค.ศ. 1944 ยื่นตราสารการให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคี และจะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นภาคีพิธีสารฯ ครบจำนวน 128 ประเทศ (อนุสัญญาชิคาโก ปี ค.ศ. 1944 ของ ICAO กำหนดให้พิธีสารมีผลใช้บังคับต่อเมื่อมีประเทศสมาชิกยื่นตราสารการให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีเป็นจำนวน 2 ใน 3 ของประเทศสมาชิก ICAO ทั้งหมด)
11. เรื่อง การลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ สำหรับการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (Department of Special Investigation : DSI) และสำนักงานตำรวจแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ สำหรับการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ
2. อนุมัติให้อธิบดี DSI เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ รวมทั้งอนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) โดย DSI หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) พิจารณาปรับแก้ไขหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็นต้องมีการแก้ไขในภายภาคหน้า โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
สาระสำคัญของเรื่อง
ยธ. รายงานว่า DSI และสำนักงานตำรวจแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้เห็นชอบร่วมกันในการร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่าง DSI และสำนักงานตำรวจแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ สำหรับการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งหากไม่มีข้อขัดข้องสำนักงานตำรวจแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ก็พร้อมจะลงนามทันที
ทั้งนี้ ร่างหนังสือแสดงเจตจำนง มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบการทำงานพื้นฐานสำหรับความร่วมมือระหว่างผู้ร่วมดำเนินการทั้งสองฝ่ายในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ
รูปแบบของกิจกรรมความร่วมมือ จะครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ดังนี้ (1) การแบ่งปันข้อมูลในด้านการบังคับใช้กฎหมาย (2) การปฏิบัติการประสานงานในด้านการบังคับใช้กฎหมาย (3) การสร้างความเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นทางด้านเครือข่ายความร่วมมือที่มีอยู่
ปัญหาอาชญากรรมสำหรับการจัดการความร่วมมือ ประกอบด้วย (1) การค้ามนุษย์ (2) การลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น (3) แก๊งมอเตอร์ไซค์นอกกฎหมาย (4) การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก (ซึ่งรวมทั้งการท่องเที่ยวเพื่อประเวณีเด็กและการถ่ายทอดสดออนไลน์) (5) การฟอกเงิน (6) การต่อต้านการก่อการร้าย (7) ปัญหาอื่น ๆ
การแลกเปลี่ยนข้อมูล ทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน โดยเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบในระดับชาติที่เกี่ยวข้องและสนธิสัญญาต่าง ๆ
12. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยชีวจริยธรรม ครั้งนี้ 26 [26th Session of the International Bioethics Committee of UNESCO (IBC)] และการประชุมคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยจริยธรรมในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 11 [11th Session of the World Commission on Ethics Scientific Knowledge and Technology (COMEST)] ในปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยชีวจริยธรรม ครั้งนี้ 26 [26th Session of the International Bioethics Committee of UNESCO (IBC)] และการประชุมคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยจริยธรรมในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 11 [11th Session of the World Commission on Ethics Scientific Knowledge and Technology (COMEST)] ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2562
2. มอบหมายให้ วท. และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการประชุมฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
วท. รายงานว่า
1. องค์การยูเนสโกเป็นหน่วยงานเดียวขององค์การสหประชาติ (UN) ที่ดำเนินการในด้านจริยธรรม ภายใต้คณะกรรมการ 3 คณะ ดังนี้ 1) IBC 2) คณะกรรมาธิการรัฐบาลระหว่างประเทศว่าด้วยชีวจริยธรรม [Intergovernmental Bioethics Committee, (IGBC)] และ 3) COMEST ซึ่งตั้งแต่ปี 2558 IBC และ COMEST ได้มีการจัดประชุมร่วมกันปีละ 1 ครั้ง โดยเป็นการประชุมในช่วงเวลาและสถานที่เดียวกัน และมีการประชุมร่วม (Joint Session) ระหว่างคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดด้วย
2. องค์การยูเนสโกได้เสนอให้ไทยพิจารณารับเป็นเจ้าภาพจัดประชุม IBC ครั้งที่ 26 และ COMEST ครั้งที่ 11 ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 ซึ่งคณะกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาติ ในการประชุม ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2560 ได้มีมติสนับสนุนให้ไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุม IBC และ COMEST แล้ว ทั้งนี้ ศธ. ได้ตอบรับเป็นเจ้าภาพร่วมกับ วท. แล้วด้วย
13. เรื่อง การลงนามในกรอบข้อตกลงการดำเนินงานกับกองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย พ.ศ. 2561 – 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการลงนามในกรอบข้อตกลงการดำเนินงาน (Framework Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย พ.ศ. 2561 - 2563
2. เห็นชอบเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทกับกองทุนโลกฯ โดยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยใช้ภาษาอังกฤษ ตามกฎเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการของกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL Arbitration Rules)
3. มอบหมายให้ สธ. เป็นคู่สัญญาแทนรัฐบาลไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในกรอบข้อตกลงการดำเนินงานในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย
4. มอบให้ สธ. โดยกรมควบคุมโรคลงนามในเอกสารยืนยันการรับทุน (Grant Confirmation) กับกองทุนโลกฯ และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกองทุนโลกฯ ในแต่ละรอบการให้ทุนของกองทุนโลก
ทั้งนี้ ให้ สธ. รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
รวมทั้ง ให้ สธ. หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการให้เอกสิทธิและความคุ้มกัน และสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานร่วมกับกองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย หรือองค์กรที่มีลักษณะเดียวกันในอนาคตตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า การลงนามในกรอบข้อตกลงการดำเนินงานกับกองทุนโลกฯ ในครั้งนี้ มีความจำเป็นต้องเป็นการลงนามในนามของรัฐบาลไทย เนื่องจากกรอบข้อตกลงดังกล่าวจะใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนเงินทุนจากกองทุนโลกฯ ให้แก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต่าง ๆ ในประเทศไทย รวมทั้งมีเงื่อนไขในการรับทุนจากกองทุนโลกฯ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของ สธ. ซึ่งต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้ 1) การให้เอกสิทธิและความคุ้มกัน (Privileges and Immunities) 2) การระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ และ 3) การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
14. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับกระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม สาธารณรัฐฝรั่งเศส
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่าง วท. แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม แห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้ วท. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
3. มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในข้อ 2
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับกระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม สาธารณรัฐฝรั่งเศส ครอบคลุมความร่วมมือ 13 สาขา ได้แก่ (1) เทคโนโลยีและความหลากหลายทางชีวภาพ (2) พลังงานหมุนเวียน (3) เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ (4) เครื่องสำอางนวัตกรรม (5) การวิจัยแสงซินโครตรอน การประยุกต์ใช้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง (6) เทคโนโลยีอวกาศ การสำรวจระยะไกลระบบภูมิศาสตร์และการสอบเทียบ (7) วิทยาศาสตร์การอาหาร (8) การประเมินวัฏจักรชีวิต (9) นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (10) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (11) นิวเคลียร์ (12) การนำวิทยาศาสตร์สู่ชุมชนและการสื่อสารวิทยาศาสตร์ และ (13) สาขาอื่น ๆ ของความร่วมมือซึ่งอาจเห็นพ้องร่วมกัน
รูปแบบความร่วมมือ ครอบคลุม 5 กิจกรรม ได้แก่ (1) โครงการการวิจัยและพัฒนาร่วม (2) การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญการ และนักวิจัย (3) การจัดและการร่วมการประชุมร่วมด้านวิทยาศาสตร์ การประชุมทางวิชาการ การสัมมนา การฝึกอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ นิทรรศการ และอื่น ๆ (4) การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ ข้อมูลและเอกสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (5) รูปแบบอื่น ๆ ของความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจเห็นพ้องร่วมกัน
15. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน (Home Affairs Bureau of the Government of the Hong Kong Special Administrative Region of the People’s Republic of China)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจฯ (ตามข้อ 1)
3. หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ วธ. สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ สรุปได้ดังนี้
1. ภาคีจะส่งเสริมการพัฒนาของความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในด้านวัฒนธรรมและศิลปะ
2. ภาคีจะพยายามพัฒนาความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของกันและกันและจะพยายามส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเท่าที่จะสามารถดำเนินการได้ในด้านวัฒนธรรมและศิลปะ อาทิ ศิลปะการแสดงวิจิตรศิลป์และศิลปะประยุกต์ พิพิธภัณฑ์ และมรดกทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรม สื่อสร้างสรรค์ ฯลฯ
3. ภาคีแต่ละฝ่ายจะพยายามสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและหน่วยงานของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและศิลปะ
4. ภาคีจะพยายามกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและศิลปะ และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมและศิลปะ
5. กิจกรรมความร่วมมือที่จะดำเนินการภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ขึ้นอยู่กับกำลังทุนและทรัพยากรที่ภาคีมี ภาคีแต่ละฝ่ายจะพยายามจัดหาทรัพยากรให้เหมาะสมสำหรับการดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบที่เกี่ยวกับกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ
16. เรื่อง การรับรองเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประธานสำหรับการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย-ยุโรปครั้งที่ 8
2. อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 ให้การรับรองเอกสารแถลงการณ์ประธานสำหรับการประชุมดังกล่าว
3. หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างแถลงการณ์ประธานฯ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อนจะมีการรับรองเอกสารดังกล่าว ให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ประธานสำหรับการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย-ยุโรป
ครั้งที่ 8 มุ่งเน้นการสนับสนุนบทบาทของวัฒนธรรมในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างประชาชน และส่งเสริมความเชื่อมโยงทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างแต่ละสังคม โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการคุ้มครอง ฟื้นฟู ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม (ปี พ.ศ. 2561 เป็นปีมรดกวัฒนธรรมแห่งยุโรป)
ทั้งนี้ ร่างเอกสารดังกล่าวมีกำหนดการรับรองในการประชุม ASEM CMM 8 ที่จะจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 1-2 มีนาคม 2561 ณ กรุงโซเฟีย บัลแกเรีย
แต่งตั้ง
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายปัญญาพล ศรีแสงแก้ว ผู้อำนวยการกองวิเคราะห์เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายสมชาย ไวกิตติพงษ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลยะลา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลยะลา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2559
2. นายเจริญ เกียรติวัชรชัย นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลหาดใหญ่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลหาดใหญ่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2559
3. นายวิศิษฎ์ ประสิทธิศิริกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มวิจัยและพัฒนาโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มวิจัยและพัฒนาโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2560
4. นายนพดล ไพบูลย์สิน นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานพัฒนารูปแบบการควบคุมโรค กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานพัฒนารูปแบบการควบคุมโรค กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2560
5. นายสมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560
6. นายสุรพร ลอยหา สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์เชี่ยวชาญ) สำนักงานปลัดกระทรวง ึองกัน) กลุ่มที่ปรึหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลีงานสาธารณสุขจัรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรม ดำรงตำแหน่ง สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2560
7. นายไพศาล ธัญญาวินิชกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2560
8. นางวิระวรรณ ถิ่นยืนยง นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ (ด้านสุขาภิบาล) กรมอนามัย ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านสุขาภิบาล) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2560
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางสาวนิลเนตร วีระสมบัติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (นายแพทย์เชี่ยวชาญ) โรงพยาบาลสูงเนิน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) (ด้านเวชกรรม) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดขอนแก่น (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรณีรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความประสงค์ขอแต่งตั้ง นายเลี่ยว จวิ้นยหวิน (Mr. Liao Junyun) ให้ดำรงตำแหน่ง กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร สืบแทน นายหลี่ หมิงกัง (Mr. Li Minggang) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
21. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับอนุมัติการปรับปรุงกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 จำนวน 14 คน ดังนี้
1. นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
2. นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
3. นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
4. นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
5. นางเนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
6. นางสาวอัจฉรีย์ งามพร้อมสกุล ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
7. นายอรรถยุทธ ลียะวณิช ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
8. นายคมกฤษณ์ กิตติจำเริญ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
9. นายอังสุรัสมิ์ อารีกุล ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
10. นายสุชาติ ไทยล้วน ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
11. นายหัสชัย พยาบาล ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
12. นายสุชาต อิงไธสง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
13. นายพิจิตร ดีสุ่ย ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
14. นายวีรสุข แก้วบุญปัน ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงแรงงานดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการค่าจ้างในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลากฎหมาย
23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน แทน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่ง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรัชญ์ ครุจิต เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชนในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย เพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลากฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี