"จาตุรนต์"สับระบบปราบปรามคอร์รัปชันไทยพิกลพิการ ภายใต้การครอบงำผู้มีอำนาจแทรกแซง ทำไทยย่ำอยู่กับที่อันดับไม่กระเตื้อง สะท้อนปฏิรูปแก้ทุจริตภายใต้คสช.ล้มเหลว
8 มี.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chaturon Chaisang" ถึงปัญหาการทุจริตในปัจจุบัน ว่า ความล้มเหลวของระบบต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันนั้นมีองค์ประกอบหลายด้าน เช่น กฎหมายและระเบียบต่างๆ บทบาทของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมไปถึงค่านิยม จิตสำนึกของคนและวัฒนธรรมประเพณีของสังคม องค์กรในภาครัฐที่มีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ความจริงแล้วมีทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ การทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ย่อมมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน การจะจัดการกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้ดีต้องอาศัยกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ มีช่องโหว่ รูรั่วน้อย การบริหารที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
ทั้งนี้ น่าเสียดายระบบและกลไกที่ใช้จัดการกับการทุจริตคอร์รัปชัน ที่ควรมีการเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัย แต่น่าเสียดายที่กลับไม่พัฒนา องค์กรป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันแต่เดิมนั้น ใช้หน่วยงานราชการเป็นหลัก ต่อมาในปี 2514 มีการตั้งองค์กรขึ้นโดยเฉพาะ ในช่วงแรกเป็นการตั้งโดยคณะรัฐประหาร ต่อมาภายใต้รัฐบาลพลเรือนมีการออกกฎหมายตั้งองค์กรที่ขึ้นกับฝ่ายบริหารที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ยังมีบทบาทอย่างจำกัดอยู่ มีความพยายามเพิ่มบทบาทอำนาจหน้าที่ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
คณะรัฐประหารมักตั้งองค์กรพิเศษขึ้น โดยองค์กรเหล่านี้ขึ้นต่อคณะรัฐประหารหรือรัฐบาล เช่น ในปี 2514 มีคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ (กตป.) ตั้งโดยประกาศคณะปฏิวัติมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปี 2534 มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินขึ้นตามประกาศ รสช.ฉบับที่ 26 เรื่องให้อายัดและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินเป็นต้น ปี 2549 และเมื่อมีการรัฐประหารปี 2557 มีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตส.) ที่มีหัวหน้า คสช.เป็นประธาน
แต่การแทรกแซงหรือการเข้ามาจัดการปัญหาการทุจริตเสียเองของคณะรัฐประหาร มักนำไปสู่ความล้มเหลว ไม่ได้รับการยอมรับเชื่อถือ ที่มักเป็นปัญหาร่วมกัน คือ การตั้งให้ผู้ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ และต่อมาก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของผู้มีอำนาจเอง อย่างกรณีการตั้งประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดปัจจุบัน ที่มาจากคนสนิทใกล้ชิดของรองนายกรัฐมนตรีที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในขณะนี้ ทั้งที่รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ให้กำเนิด ป.ป.ช.ที่เป็นองค์อิสระขึ้นมา โดยมีเจตนารมณ์ว่า ป.ป.ช.จะเป็นองค์กรที่มีอำนาจมากและเป็นอิสระจากทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ การมีองค์กรอิสระนี้ได้เสนอปัญหาใหม่ คือ อำนาจของฝ่ายบริหารในการจัดการกับปัญหาการทุจริตหายไปอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ ป.ป.ช.ก็มีงานล้นมือและทำไม่ทัน
สุดท้ายกลายเป็นการทำให้ ป.ป.ช.เองก็หนีไม่พ้นคำถามที่ว่า ถูกแทรกแซงได้ เลือกปฏิบัติและขาดประสิทธิภาพ แต่น่าเสียดายที่แทนที่จะมีการปรับปรุงระบบให้เข้มแข็งขึ้น การรัฐประหาร 2 ครั้งในปี 2549 และ 2557 ทำให้เกิดการวางระบบคุณสมบัติที่มาของ ป.ป.ช.จนทำให้ ป.ป.ช.กลายเป็นองค์กรภายใต้การครอบงำของผู้ที่ไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชน คำว่า "อิสระ" จึงมีความหมายว่าเป็นอิสระจากประชาชน ป.ป.ช.กลายเป็นองค์กรที่มีสังกัด ถูกมองว่าแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เลือกปฏิบัติ จนไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคม
หลังการรัฐประหารปี 2557 ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีบทบาทใดๆในการตรวจสอบการทุจริต สื่อมวลชนและภาคประชาชนก็มีบทบาทอย่างจำกัดมาก เนื่องจากขาดเสรีภาพ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของ คสช.จากการให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการและการแทรกแซงในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการใหญ่ๆ ทำให้การป้องกันปรามปรามการทุจริตเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและไม่โปร่งใส การตั้งองค์กรที่รับผิดชอบการป้องกันปราบปรามการทุจริตที่ซ้ำซ้อน ทำให้องค์กรต่างๆ ที่ควรเป็นอิสระไม่เป็นองค์กรอิสระ ทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัย ระบบถูกรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ คสช.โดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายต่างๆ ในสังคม ขณะที่มีข่าวที่น่าสงสัยว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ไม่มีการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ จนไม่มีใครรู้ว่า ยังมีการทุจริตในกรณีอื่นๆ อีกมากน้อยเพียงใด
ระบบที่จะใช้ในการจัดการกับปัญหาการทุจริตตั้งแต่นี้ต่อไป ถูกกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญที่อวดอ้างว่า เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน คือ เน้นการตรวจสอบและเอาผิดนักการเมืองกับเพิ่มอำนาจองค์กรอิสระ ได้แก่ กกต. , ป.ป.ช.และศาล เมื่อกำหนดบทลงโทษหนักขึ้นมากและให้อำนาจ ป.ป.ช.มีอำนาจมากขึ้นด้วยแล้ว ระบบตามรัฐธรรมนูญนี้ ก็เน้นเรื่องการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์ต่างๆ เหล่านี้ไว้อย่างเข้มงวดที่เรียกกันว่า "ขั้นเทพ"
แต่สุดท้ายคุณสมบัติขั้นเทพนี้ก็ไม่ถูกนำมาใช้จริงในองค์กรสำคัญๆ เช่น ป.ป.ช.และ คตง.
"สังคมไทยจึงยังจะต้องอยู่กับระบบที่พิกลพิการภายใต้การครอบงำของผู้มีอำนาจไปอีกหลายปี ความลักลั่นในการทำงานขององค์กรที่ คสช.ตั้งไว้ องค์กรสังกัดฝ่ายบริหารและองค์กรอิสระยังคงอยู่ต่อไป เกิดเป็นช่องโหว่ที่ไม่มีใครทำหน้าที่ปิดได้ ทั้งหมดทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเหตุใดเวลาที่เขาจัดอันดับความสามารถในการจัดการกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในช่วง 3 - 4 ปีมานี้ ประเทศไทยจึงย่ำอยู่กับที่ในกลุ่มอ่อนด้อยล้าหลังและไม่มีวี่แววว่าจะกระเตื้องขึ้นเลย การปราบคอร์รัปชันและการปฏิรูปประเทศเป็นข้ออ้างสำคัญของการยึดอำนาจและอยู่ในอำนาจของ คสช.มาตลอด แต่เกือบ 4 ปีมานี้ เรากลับได้ระบบในการปราบปรามคอร์รัปชันที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และไม่อาจฝากความหวังอะไรไว้ได้เลย ย่อมหมายความว่า การปราบคอร์รัปชันและการปฏิรูประบบในการปราบปรามคอร์รัปชันภายใต้การปกครองของ คสช.ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ระบบที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐธรรมนูญการจะแก้ไขแบบยกเครื่องคงต้องว่ากันอีกยาว"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี