10 มี.ค.61 นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่ อัยการศาลแขวงปทุมวันมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง 24 ผู้ต้องหา กลุ่ม"คนอยากเลือกตั้ง ชุด MBK39 "ซึ่งถูก พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ แจ้งความข้อหาฝ่าฝืน คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตามพ.ร.บ.การชุมนุมฯ ว่า ตนได้ตรวจสอบ ข้อมูล ทราบว่า นายเกริกเกียรติ รัฐนวธรรม อัยการเจ้าของสำนวนดังกล่าว ได้พิจารณาสำนวนที่ตั้งข้อหาผู้ต้องหา 33 คน ซึ่งคดีนี้เเกนนำ 9 คน ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เเล้ว
ส่วนคดีที่ศาลเเขวงปทุมวันมีผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คน ซึ่งทั้งหมด ถูกเเจ้งข้อหาดำเนินคดีฐานฝ่าฝืน คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องชุมนุมเกิน 5 คน ในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ ซึ่งทางอัยการเจ้าของสำนวนพิจารณาเเล้วเห็นว่า คดีมีมูลจริง เนื่องจาก การกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. จริง เเต่ก็ยังเห็นว่า การชุมนุมดังกล่าวหากยื่นฟ้อง จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ก็เลยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ซึ่งอัยการได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องไปเมื่อวันที่ 9 มี.ค.61 ที่ผ่านมา โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21 วรรคสอง ประกอบกับระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ พ.ศ.2554
อย่างไรก็ตาม การสั่งคดีดังกล่าว ยังมีขั้นตอนปฏิบัติที่อัยการจะต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เสนอสำนวนผ่านอธิบดีอัยการคดีศาลเเขวง เเละอัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคนสุดท้ายตามขั้นตอน
เมื่อถามตรงนี้มีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวต่อว่า ตรงนี้จะไม่มีเงื่อนเวลา เเต่การดำเนินคดีในศาลเเขวงนั้นจะมีระยะเวลาควบคุมอยู่ อัยการจะต้องมีความเห็นสั่งฟ้องไม่ฟ้องภายใน 30 วัน เพราะคดีที่อยู่ในอำนาจศาลเเขวงนั้น สามารถผัดฟ้องได้ 5 ครั้งๆ ละ 6 วัน ซึ่งจะต้องเเล้วเสร็จใน 30 วัน ตามกฎหมาย
ทั้งนี้ นายประยุทธ กล่าวอธิบายข้อกฎหมาย อีกว่า คดีที่พนักงานอัยการเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21 วรรคสอง ว่า หากอัยการไม่ว่าสำนักงานใดทั่วประเทศเห็นว่า สำนวนคดีที่อยู่ในการพิจารณาไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะให้มีอำนาจที่จะสั่งไม่ฟ้องคดีได้ ซึ่งตามกฎหมาย พ.ร.บ.อัยการฯใหม่ปี 53 เขียนไว้ชัดเจนว่า ความผิดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนี้ ให้ส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดีอีกครั้ง ซึ่งหากอัยการสูงสุด พิจารณาเเล้ว มีความเห็นสั่งคดีอย่างไรก็ถือเป็นที่สิ้นสุด โดยก่อนหน้าที่จะมีกฎหมาย พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 เเนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ก็มีอยู่ก่อนเเล้วในระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ 2547 เรื่องการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งเนื้อหาจะมีลักษณะคล้ายกัน เพียงเเต่มาเขียนให้ชัดเจนขึ้นในปี2553
"คดีอาญาทั่วไป ถ้าอัยการสั่งไม่ฟ้องก็จะต้องส่งความเห็น ผบ.ตร.หรือผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ ให้ทำความเห็นกลับมา หากพนักงานสอบสวนยังเห็นเเย้ง หมายถึงยืนยันสั่งฟ้องผู้ต้องหา จึงต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดชี้ขาด เเต่ถ้าเป็นความผิดประเภทคดีที่ไม่เป็นประโยชน์สาธารณะ กฎหมายเขียนให้อัยการสูงสุดที่มีอำนาจสั่งคดีสูงสุดเป็นคนสั่งคดีเอง จึงไม่ต้องส่งให้ใครทำความเห็นเเย้งส่งมาอีก " นายประยุทธกล่าวเเละว่า "ยกตัวอย่างคดีขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นความผิดฐานกระทำประมาท ฯ เเต่ถ้าได้ความว่าคนขับรถคือพ่อ เเละคนที่ตายคือ ภรรยาเเละลูก พ่อซึ่งเป็นคนขับรอดคนเดียว เเค่นี้เขาก็ช้ำใจอยู่เเล้ว เเบบนี้อัยการก็จะสั่งไม่ฟ้องเพราะฟ้องไปสังคมก็ไม่ได้อะไร" นายประยุทธ กล่าวตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี