13 มี.ค.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ และ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2561)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2561) ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้
คค.เสนอว่า เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2561 มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน คาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา เป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่ออกและเข้ากรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การจราจรมีความคล่องตัว รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ
โดยที่การกำหนดช่วงระยะเวลาให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ตามกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่เป็นประจำทุกปี พ.ศ. .... (ตั้งแต่เวลา 16.00 นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน ถึงเวลา 24.00 นาฬิกาของวันที่ 16 เมษายน) ยังไม่เหมาะสมกับช่วงระยะเวลาการเดินทางของประชาชน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2561 สมควรกำหนดระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษดังกล่าวเสียใหม่ โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับเทศกาลสงกรานต์ของปี พ.ศ.2561 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2561 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2561
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา และบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2561 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2561
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมข้อ 10 แห่งกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2559 ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กษ.เสนอว่า
1. ตามที่ได้มีกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2559 โดยข้อ 9 (4) และ (5) แห่งกฎกระทรวงดังกล่าวกำหนดให้ในกรณีสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงป่วยหรือตาย ผู้รับใบอนุญาตต้องนำสัตว์น้ำหรือซากของสัตว์น้ำขึ้นมากำจัดบนบกอย่างถูกสุขลักษณะ และในกรณีเป็นกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม ผู้รับใบอนุญาตต้องป้องกันมิให้สัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงหลุดออกนอกที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำลงสู่ที่จับสัตว์น้ำ
2. โดยที่การปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าวประสบปัญหา เป็นเหตุให้ผู้ประกอบกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในข้อ 9 (4) และ (5) ได้ เนื่องจากหอยทะเลมีขนาดเล็กและไม่ลอยน้ำ ทำให้ไม่สามารถนำหอยทะเลหรือซากของหอยทะเลขึ้นมากำจัดบนบกอย่างถูกสุขลักษณะได้ รวมทั้งหากมีการสืบพันธุ์โดยธรรมชาติ ลูกหอยทะเลจะลอยไปตามกระแสน้ำเพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการยึดเกาะ ซึ่งไม่สามารถป้องกันมิให้หอยทะเลหลุดออกนอกพื้นที่เพาะเลี้ยงได้เช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงดังกล่าวโดยสมควรยกเว้นให้ผู้รับใบอนุญาตทำการเพาะเลี้ยงหอยทะเลไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 9 (4) และ (5) แห่งกฎกระทรวงดังกล่าวได้
3. กษ. ได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดกิจการการเพาะเลี้ยงหอยทะเลเป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมตามมาตรา 76 มาตรา 78 และมาตรา 79 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2559
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2559 โดยเพิ่มเงื่อนไขที่ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามชนิดของสัตว์น้ำ ดังนี้
กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2559 |
ร่างกฎกระทรวงฯ ตามที่ กษ. เสนอ |
ข้อ 9 ผู้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (1) ต้องติดตั้งโคมไฟหรือเครื่องหมายบริเวณที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ชัดเจน ฯลฯ (4) กรณีสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงป่วยหรือตายต้องนำสัตว์น้ำหรือซากของสัตว์น้ำขึ้นมากำจัดบนบกอย่างถูกสุขลักษณะ (5) กรณีเป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมตามมาตรา 76 ต้องป้องกันมิให้สัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงหลุดออกนอกที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำลงสู่ที่จับสัตว์น้ำ ฯลฯ |
ให้ยกเลิกความในข้อ 9 (4) และ (5) ของกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(4) กรณีสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงป่วยหรือตายต้องนำสัตว์น้ำหรือซากสัตว์น้ำขึ้นมากำจัดบนบกอย่างถูกสุขลักษณะ (ยกเว้นหอยทะเล) (5) กรณีเป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุมตามมาตรา 76 ต้องป้องกันมิให้สัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงหลุดออกนอกที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำลงสู่ที่จับสัตว์น้ำ (ยกเว้นหอยทะเล)” |
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “สนามบินสาธารณะ” และ “สนามบินส่วนบุคคล”
2. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะของผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะ ต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายไทย และมีสำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในราชอาณาจักร โดย (1) เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทย (2) กระทรวง ทบวง กรม ในรัฐบาล (3) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่มีบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทยถือหุ้นอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดของหุ้นทั้งหมด ฯลฯ แต่ละประเภทโดยลำพังหรือหลายประเภทรวมกัน มีหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดของหุ้นทั้งหมด ฯลฯ ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนด เช่น ผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการขนส่งและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินกิจการสนามบิน (ถ้ามี) เอกสารหรือหลักฐานแสดงการมีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินและแผนแม่บทสนามบินสาธารณะที่ขออนุญาตจัดตั้ง ฯลฯ
3. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะของผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคล ต้อง (1) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย (2) มีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ขออนุญาตจัดตั้งสนามบิน (3) มีความสามารถในการดำเนินงานสนามบินตามที่ผู้อำนวยการประกาศกำหนด ฯลฯ
4. กำหนดวิธีการและขั้นตอนในการพิจารณาคำขอจัดตั้งสนามบินสาธารณะและสนามบินส่วนบุคคล เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำขอแล้ว ให้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ (1) ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะของผู้ขอรับใบอนุญาตและความถูกต้องครบถ้วนของคำขอเอกสารและหลักฐาน (2) เมื่อปรากฏว่าคำขอ เอกสารและหลักฐานมีความถูกต้องครบถ้วน โดยแบบก่อสร้างสนามบินเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งแผนการดำเนินการก่อสร้างสนามบินและระยะเวลาที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ มีความเหมาะสม พนักงานเจ้าหน้าที่อาจเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินด้วยก็ได้ และในกรณีที่รัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งสนามบิน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ให้ความเห็นชอบในแบบก่อสร้างสนามบินและแผนแม่บทสนามบินสาธารณะ และออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาต เป็นต้น
5. กำหนดบทเฉพาะกาล ดังนี้
5.1 บรรดาใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินซึ่งมีผลใช้ได้อยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตนั้นจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน
5.2 บรรดาคำขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินที่ได้ยื่นไว้ก่อนที่กฎกระทรวงนี้ มีผลใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ถือว่าเป็นคำขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินตามกฎกระทรวงนี้
5.3 บรรดาคำขอต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ และยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ถือว่าเป็นคำขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะตามกฎกระทรวงนี้ และให้ใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะนั้นใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะถูกเพิกถอน
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
มท.เสนอว่า เนื่องจากปัจจุบันได้มีนวัตกรรมเครื่องเล่นชนิดใหม่เป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องเล่นชนิดเป่าลม และเครื่องเล่นที่อยู่ในสวนน้ำ โดยมีส่วนประกอบหรือลักษณะแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น พ.ศ.2558 ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่นได้ ซึ่งการใช้บังคับกฎกระทรวงดังกล่าวยังครอบคลุมไปไม่ถึง ดังนั้น เพื่อให้มีมาตรการในการควบคุมเครื่องเล่นที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคตที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่น สมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงดังกล่าวโดยแก้ไขบทนิยาม “เครื่องเล่น” รวมทั้งเพิ่มเติมกฎเกณฑ์และมาตรฐานเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยและคุณสมบัติของวัสดุและอุปกรณ์ของเครื่องเล่น รวมทั้งคุณสมบัติของพนักงานดูแลความปลอดภัยประจำเครื่องเล่นและพนักงานควบคุมเครื่องเล่น ซึ่งคณะกรรมการควบคุมอาคารได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2559
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น พ.ศ.2558 โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และมาตรฐานเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย และคุณสมบัติของวัสดุและอุปกรณ์ของเครื่องเล่น รวมทั้งคุณสมบัติของพนักงานดูแลความปลอดภัยประจำเครื่องเล่นและพนักงานควบคุมเครื่องเล่น เพื่อป้องกันอันตรายแก่ผู้เล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกหรือในสถานที่อื่นในลักษณะเดียวกัน
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 รวม 8 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 รวม 8 ฉบับ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ วท.รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง รวม 8 ฉบับ
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดสารประกอบหรือสารผสมของยูเรเนียมหรือทอเรียม เพื่อให้สารประกอบหรือสารผสมนั้นเป็นวัสดุต้นกำลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สารประกอบของยูเรเนียม สารประกอบของทอเรียม หรือสารผสมที่มียูเรียม ทอเรียม สารประกอบของยูเรเนียมหรือสารประกอบของทอเรียม ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะทางกายภาพใดเป็นวัสดุต้นกำลัง
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดศักยภาพทางเทคนิคของผู้ขอรับใบอนุญาตเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ต้องมีศักยภาพทางเทคนิคเพียงพอในการดูแลความปลอดภัย ความมั่นคงปลอดภัยของวัสดุนิวเคลียร์ และการดำเนินการเมื่อเลิกใช้งานวัสดุนิวเคลียร์ที่ขอรับใบอนุญาต
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดการดำเนินกิจการทางนิวเคลียร์ที่ต้องแจ้งต่อเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ที่จะดำเนินกิจการทางนิวเคลียร์จะต้องแจ้งต่อเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ
4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตหรือแจ้งตามกฎหมายว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์
5. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตเกี่ยวกับเครื่องกำเนิดรังสี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประสงค์จะทำเครื่องกำเนิดรังสี มีไว้ในครอบครอง หรือใช้เครื่องกำเนิดรังสี นำเข้าหรือส่งออกเครื่องกำเนิดรังสี ต้องขอรับใบอนุญาตตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนด
6. ร่างกฎกระทรวงกำหนดศักยภาพทางเทคนิคของผู้ขอรับใบอนุญาตเกี่ยวกับเครื่องกำเนิดรังสี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเกี่ยวกับเครื่องกำเนิดรังสีต้องมีศักยภาพทางเทคนิคเพียงพอในการดูแลความปลอดภัยของเครื่องกำเนิดรังสีที่ขออนุญาต
7. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต การออกใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับ ประเภท และคุณวุฒิของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาตเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี
8. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ประสงค์จะตั้งสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสีต้องรับใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อตั้งสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี ใบอนุญาตก่อสร้างสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี และใบอนุญาตดำเนินการให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี จากเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
6. เรื่อง ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัจจุบันประมวลรัษฎากรยังไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับทรัพย์สินดิจิทัลไว้ จึงอาจเกิดความไม่ชัดเจน ดังนั้น เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร โดยกำหนดนิยามของทรัพย์สินดิจิทัล ประเภทเงินได้ของเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล และการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล เพื่อให้ผู้มีเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัลและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับทรัพย์สินดิจิทัลเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรอย่างถูกต้องครบถ้วนเช่นเดียวกันกับผู้มีเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินอื่นๆ และผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับทรัพย์สินอื่น ๆ และเนื่องจากในปัจจุบันได้มีการนำทรัพย์สินดิจิทัลมาใช้ในการประกอบธุรกิจและการกระทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศแล้ว โดยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งจะต้องตราพระราชกำหนด
สาระสำคัญของร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล) เป็นการกำหนดนิยามของทรัพย์สินดิจิทัล ประเภทเงินได้ของเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล และการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายของเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล ดังนี้
1. กำหนดนิยามของทรัพย์สินดิจิทัลในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรดังนี้
1.1 ทรัพย์สินดิจิทัล หมายความว่า (1) คริปโทเคอร์เรนซี (2) โทเคนดิจิทัล และ (3) ทรัพย์สินในรูปหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อื่นใดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด
1.2 คริปโทเคอร์เรนซี หมายความว่า หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจมีราคาหรือมูลค่าอันถือเอาได้ โดยเป็นการตกลงหรือยอมรับระหว่างบุคคลในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด โดยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่มีการอ้างอิงเงินตรา เงินตราต่างประเทศ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ใด
1.3 โทเคนดิจิทัล หมายความว่า หน่วยแสดงสิทธิในรูปหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใด ๆ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด ทั้งนี้ ตามข้อตกลงที่กำหนดไว้โดยเฉพาะเจาะจงระหว่างผู้ออกและผู้ถือ
2. เพิ่มประเภทย่อยของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) แห่งประมวลรัษฎากรอีก 2 ประเภทสำหรับเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัลดังนี้
2.1 มาตรา 40(4)(ซ) เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้จากทรัพย์สินดิจิทัล
2.2 มาตรา 40(4)(ฌ) ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สินดิจิทัล ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
3. กำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ซ) และมาตรา 40(4)(ฌ) โดยผู้มีเงินได้ต้องนำไปรวมคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย สำหรับการกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายนั้นสามารถดำเนินการโดยการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้และคำสั่งกรมสรรพากร เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากรมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เมื่อพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล) มีผลใช้บังคับแล้ว
ทั้งนี้ โดยให้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
7. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทั้ง 2 ข้อตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561
2. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 พ.ศ. .... พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 เป็นจำนวนไม่เกิน 150,000 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นจำนวนไม่เกิน 100,358,077 ล้านบาท และเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน 49,641,923 ล้านบาท
เศรษฐกิจ-สังคม
8. เรื่อง ร่างนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติเพื่อประกาศใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการห้วงอากาศของประเทศ ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
ทั้งนี้ ให้ คค.พิจารณาทบทวนกลไกการบริหารจัดการห้วงอากาศตามร่างนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติ โดยให้คณะกรรมการการบินพลเรือนทำหน้าที่กำหนดทิศทางการดำเนินการบริหารจัดการห้วงอากาศของประเทศในระดับนโยบายแทนการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติชุดใหม่ และให้ คค. (คณะกรรมการการบินพลเรือน) พิจารณาแต่งตั้งกลไกการขับเคลื่อนนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติในระดับยุทธการและระดับปฏิบัติการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้ คค.รับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็นการเพิ่มเติมการกำหนดนโยบายการขนส่งทางอากาศให้ครอบคลุมในทุกมิติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติ มีการกำหนดแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงระบบห้วงอากาศของประเทศไทยให้เป็นไปตามแนวทางสากลและสอดคล้องกับแผนการพัฒนาระบบการบินของ ICAO โดยยึดถือตามแนวความคิดของการบริหารจัดการจราจรทางอากาศแบบยืดหยุ่น (Flexible Uses of Airspace : FUA) ซึ่งเป็นหนึ่งในการพัฒนาประสิทธิภาพในการให้บริการจราจรทางอากาศ โดยมีหลักการ คือ ห้วงอากาศไม่ควรกำหนดให้เป็นพื้นที่ตายตัว เช่น พื้นที่หวงห้าม (Prohibited Area) พื้นที่กำกัด (Restricted Area) และพื้นที่อันตราย (Danger Area) โดยต้องออกแบบและจัดการห้วงอากาศตามความต้องการของผู้ใช้แรงงานในแต่ละช่วงเวลาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ การจะนำหลักการ FUA มาใช้ให้เกิดผลสำเร็จต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนเพื่อร่วมกันออกแบบ ทบทวน และประเมินผลการจัดการห้วงอากาศเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานห้วงอากาศให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ร่างนโยบายห้วงอากาศแห่งชาติมีนโยบายเฉพาะ เช่น (1) พัฒนากฎหมายห้วงอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย (2) พัฒนาบุคลากรทั้งด้านความมั่นคงและพลเรือนให้มีความพร้อมสำหรับรองรับการเติบโตของกิจการการบินและพัฒนาทางเทคโนโลยีในอนาคต เพื่อให้ระบบการบินของประเทศทั้งกิจการการบินของภาคความมั่นคงและการบินพลเรือนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน (3) เสริมสร้างขีดความสามารถการรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เพื่อป้องกันการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (4) บูรณาการการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกันระหว่างกระทรวงกลาโหม (กห.) คค.หน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง และ (5) ส่งเสริมให้มีการวางแผนและลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางอากาศ ห้วงอากาศและอวกาศ การเดินอากาศ การบริหารการจราจรทางอากาศเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับมาตรฐานของ ICAO เป็นต้น
9. เรื่อง โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารังสิตระยะที่สอง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอดังนี้
ในวงเงินลงทุนรวม 5,607.84 ล้านบาท
สถาบันการเงินในประเทศ จำนวน 3,364.70 ล้านบาท
สำหรับการกู้เงินเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนก่อสร้างในโครงการดังกล่าว วงเงิน 3,364.70 ล้านบาท ให้ สธ.
(องค์การเภสัชกรรม) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ให้ สธ. (องค์การเภสัชกรรม) กำกับดูแลการบริหารโครงการดังกล่าวเพื่อให้สามารดำเนินการ
โครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกำหนดเวลาตามแผนงาน อาทิ การมีที่ปรึกษาด้านการบริหารโครงการที่มีประสบการณ์และเป็นมืออาชีพและการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการโดยเฉพาะปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความล่าช้าของโครงการและฐานะการเงินขององค์กร ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ อภ.พิจารณากำหนดแนวทางการลงทุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมยาที่เป็นภาพรวมของประเทศสำหรับการสร้างรายได้จากการขยายสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนควบคู่กับการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบยาและการเข้าถึงยาของประชาชน โดยให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สาระสำคัญของโครงการฯ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
ผลิตสากลตามหลักการของ GMP PIS/S และเป็นการทดแทนโรงงานผลิตยาพระราม 6 ซึ่งมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคตของ อภ.
การขนย้ายระหว่างอาคารคลังสำรองวัตถุดิบและอุปกรณ์บรรจุระบบสาธารณูปโภค และอาคารคลังกระจายสินค้าร่วมกันกับโรงงานผลิตยารังสิต 1
ประโยชน์ที่ได้รับ ประชาชนสามารถเข้าถึงยารักษาโรคที่มีมาตรฐานในราคาที่เป็นธรรม
ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยาในประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการวิจัยและการผลิตยาของประเทศ
10. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.2563
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) สธ.สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (มติในคราวประชุมคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน ครั้งที่ 12/2560 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
2. สำหรับกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ให้ สปสช.ดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามปฏิทินงบประมาณ ตลอดจนแนวทางต่าง ๆ ตามที่สำนักงบประมาณกำหนด เพื่อให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปตามขั้นตอนต่อไป
3. ให้ สธ. สปสช. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานด้านการป้องกันโรคร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโครงการคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC ) ซึ่งเป็นบริการเชิงรุกเพื่อเน้นการดูแลป้องกันก่อนการเจ็บป่วย เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการปฏิบัติงานและภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณในระยะยาวต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2561 (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณสุขปีงบประมาณ พ.ศ.2561 )
4 ให้ สธ. สปสช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันถึงแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม และควรให้ความสำคัญกับความพร้อมและศักยภาพของผู้ให้บริการและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการจัดบริการที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลตามตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ของโครงการคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC) ดังกล่าวตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
5. ให้ สปสช.พิจารณาเร่งรัดกระบวนการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขให้แก่หน่วยบริการสาธารณสุขต่างๆ ที่ให้การรักษาพยาบาลกับผู้ป่วยที่มีสิทธิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ให้รวดเร็วขึ้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและฐานะทางการเงินของหน่วยบริการ
6. ให้ สธ. ร่วมกับ สปสช. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นการดำเนินการของ สปสช.ต่างๆ ที่ยังมิได้ข้อยุติในทางกฎหมาย เช่น ประเด็นการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ และประเด็นการจ่ายเงินให้กับหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่ได้กำหนดไว้ในกฏหมาย โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนผู้มีสิทธิ และผลกระทบต่อภาระงบประมาณของภาครัฐเป็นสำคัญ เพื่อให้การดำเนินงานของ สปสช.มีความชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
7. ในขั้นตอนการเสนอขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตต่อคณะรัฐมนตรีสำหรับปีงบประมาณต่อไป ให้ สปสช.ประสานงานกับสำนักงบประมาณอย่างใกล้ชิด และถามความเห็นของสำนักงบประมาณเพื่อนำความเห็นดังกล่าวเสนอมาพร้อมกับการเสนอขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณืในการพิจารณาอนุมติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
11. เรื่อง ร่างแผนการปฏิรูปประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างแผนการปฏิรูประเทศทั้ง 11 ด้าน
2. เห็นชอบความเห็นของ สศช. เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามร่างแผนปฏิรูปประเทศพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ให้เพิ่มเติมบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปให้รวมถึงการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศผ่านการสื่อสารทุกช่องทางเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนในทุกภาคส่วนและหน่วยงานรัฐที่จะต้องนำไปปฏิบัติ รวมทั้งมีช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและทั่วถึงด้วย
ให้ สศช. เร่งดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยมุ่งเน้นให้กลไกและวิธีการประเมินสามารถประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและไม่เป็นภาระของหน่วยงานมากจนเกินไป และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางและหลักเกณฑ์เพื่อถือปฏิบัติต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สศช.รายงานว่า สศช.ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศได้สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และเป้าหมายและการดำเนินงานของร่างแผนการปฏิรูป 11 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการเมือง 2) ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน 3) ด้านกฎหมาย 4) ด้านกระบวนการยุติธรรม 5) ด้านเศรษฐกิจ 6) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 7) ด้านสาธารณสุข 8) ด้านสื่อมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ 9) ด้านสังคม 10) ด้านพลังงาน และ 11) ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งนี้ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง 11 ด้าน ได้ดำเนินการจัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศในด้านที่รับผิดชอบแล้วเสร็จ รวมถึงได้สอบถามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอร่างแผนการปฏิรูปประเทศต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเพื่อพิจารณาแล้ว
ภาพรวมของแผนการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน มีประเด็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปที่สำคัญซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน ดังนี้
1) การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ การส่งเสริมการประกอบอาชีพ และการปรับปรุงกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ผ่านการดำเนินการตามแผนปฏิรูป 4 ด้านหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และสาธารณสุข
2) การพัฒนาเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับชุมชน ผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup)ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และเชื่อมโยงการผลิตของไทยกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาค
3) การสร้างสังคมและชุมชนที่เข้มแข็ง มุ่งเน้นให้คนในชุมชนทุกกลุ่มมีความมั่นคงด้านอาชีพ และรายได้ รวมทั้งมีหลักประกันทางรายได้ในวัยเกษียณที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ และได้รับสวัสดิการทางสังคมที่เหมาะสม
4) การฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ มุ่งเน้นการฟื้นฟู อนุรักษ์ เพื่อสร้างฐานทรัพยากรของประเทศไทยในระยะยาวควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน
5) การสร้างประสิทธิภาพและความโปร่งในในกระบวนการทำงานภาครัฐ ปฏิรูปหน่วยงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ติดตาม และประเมินผลมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในระดับภาพรวมและระดับพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมาย
6) การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ปรับปรุงกฎหมายเพื่อสนับสนุนการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การดำเนินการตามประเด็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปที่สำคัญ 6 มิติดังกล่าวข้างต้นจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยในภาพรวม 4 ด้าน ได้แก่ 1) ประเทศไทยมีฐานทรัพยากรรองรับการใช้ประโยชน์อย่างสมดุลในเชิงสังคมและเชิงเศรษฐกิจ 2) ประชาชนมีสวัสดิการของรัฐที่เหมาะสม มีโอกาสในการสร้างอาชีพและได้รับความเป็นธรรมในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรม 3) ภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการและการวิจัยพัฒนานวัตกรรมได้รับการยกระดับ รวมทั้งลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และ 4) การบริหารจัดการภาครัฐมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชน นอกจากนี้ การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน จะก่อให้เกิดประโยชน์ในแต่ละระดับของสังคม คือ ระดับประชาชน ชุมชนและท้องถิ่น ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และประเทศ
ต่างประเทศ
12. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมสุดยอดอาเซียน - ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1) เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ หรือปฏิญญาซิดนีย์ (Joint Statement of the ASEAN - Australia Special Summit : The Sydney Declaration) และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับรัฐบาลออสเตรเลียว่าด้วยความร่วมมือเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสากล [Memorandum of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) and the Government of Australia on Co - operation to Counter International Terrorism]โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กต. หรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
2. ให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างปฏิญญาซิดนีย์
3. เห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ หรือในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงภายหลังโดยให้รัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นผู้ลงนาม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ซึ่งไม่มีผลเปลี่ยนแปลงนัยทางกฎหมายแต่อย่างใด
(การประชุมสุดยอดอาเซียน - ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 - 18 มีนาคม 2561 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย)
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาซิดนีย์และร่างบันทึกความเข้าใจฯ สรุปได้ดังนี้
1. ร่างปฏิญญาซิดนีย์ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ที่แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกอาเซียนและเครือรัฐออสเตรเลียเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในมิติการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม โดยผลักดันให้อาเซียนและเครือรัฐออสเตรเลียทำงานร่วมกันใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านความมั่งคั่ง และประชาชน
2. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับรัฐบาลออสเตรเลียว่าด้วยความร่วมมือเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสากล เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของอาเซียนและออสเตรเลียที่ร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายสากลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวกรอง เป็นต้น รวมถึงการป้องกันแนวคิดหัวรุนแรงและสุดโต่งที่อาจนำไปสู่การก่อการร้าย โดยใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่ภายในกรอบอาเซียน - ออสเตรเลีย
13. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการมะลิลาเพื่อต่อยอดการดำเนินการตามปฏิญญา กรุงพนมเปญว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการพัฒนาภายใต้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (พ.ศ.2561 - 2565)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการมะลิลาเพื่อต่อยอดการดำเนินการตามปฏิญญากรุงพนมเปญ ว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการพัฒนาภายใต้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit : EAS) (พ.ศ.2561 -2565)
2. ให้ กต. มีหนังสือแจ้งยืนยันการเห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างแผนปฏิบัติการมะลิลาเพื่อต่อยอดการดำเนินการตามปฏิญญา กรุงพนมเปญฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการพัฒนากิจกรรมและโครงการภายใต้ถ้อยแถลงและแผนงานที่ได้รับการรับรองแล้วในกรอบการประชุม EAS รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและการเสริมสร้างศักยภาพระหว่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุม EAS ในสาขาความร่วมมือหลัก 6 สาขา ได้แก่ สิ่งแวดล้อมและพลังงาน การศึกษา การเงิน สาธารณสุขและโรคระบาด การจัดการภัยพิบัติ ความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และสาขาความร่วมมือที่สำคัญอีก 3 สาขา ได้แก่ การค้าและเศรษฐกิจความมั่นคงทางอาหาร ความร่วมมือทางทะเล
14. เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการ ก่อการร้ายที่ 2370 (ค.ศ.2017) และ 2396 (ค.ศ.2017)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council - UNSC) ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2370 (ค.ศ.2017) และ 2396 (ค.ศ.2017)
2. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) การทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปละสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ดำเนินการดังต่อไปนี้
2.1 ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการดำเนินการตามวรรค 11-13 และวรรค 15 ของข้อมติ UNSCที่ 2396 (ค.ศ.2017)
2.2 ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย รวมถึงนักรบก่อการร้ายต่างชาติ ซึ่งต้องถูกมาตรการอายัดทรัพย์สิน ห้ามเดินทาง ตรวจจับความเคลื่อนไหว และมาตรการอื่นๆ ตามข้อมติ UNSC ที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยตามข้อมูลในเว็บไซต์ https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1267/ aq_sanctions_list และ https://www.unorg/sc/suborg/en/sanctions/1988/materials ซึ่งปรับปรุงโดยสหประชาชาติเป็นประจำ
2.3 แจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวให้ กต. ทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. ในช่วงปี 2557 - 2558 เครือข่ายและแนวร่วมของกลุ่ม ISIL ได้ปฏิบัติการโจมตีอย่างโหดเหี้ยมและรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วโลก ต่อมาในช่วงปี 2559 - 2560 ภารกิจทางทหารในการต่อต้าน ISIL ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้จำนวนเหตุก่อการร้ายของISILในภูมิภาคตะวันออกกลางลดลง อย่างไรก็ดี เครือข่ายของ ISIL บุคคลและกลุ่มบุคคลที่ฝักใฝ่ในลัทธิสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง (Violent Extremists) และนักรบก่อการร้ายต่างชาติ (Foreign Terrorist Fighters - FTFs) ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วโลก ยังคงสานต่อเจตนารมณ์ของ ISIL ผ่านการก่อเหตุขนาดย่อม เช่น เหตุคนร้ายขับรถยนต์ชนฝูงชนและแทงตำรวจเสียชีวิตในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 เป็นต้น ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อการก่อการร้ายที่ลุกลามกว้างขึ้น UNSCจึงได้รับรองข้อมติฯ ที่ 2370 (ค.ศ.2017) และข้อมติฯ ที่ 2396 (ค.ศ.2017) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 และวันที่ 21 ธันวาคม 2560 ตามลำดับ
2. สาระสำคัญของข้อมติฯ ที่ 2370 (ค.ศ.2017) เกี่ยวกับการกำจัดการได้มาซึ่งอาวุธของผู้ก่อการร้าย โดยผลักดันให้รัฐสมาชิกเสริมความแข็งแกร่งของการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการควบคุมชายแดน และการพัฒนาศักยภาพในการสอบสวนเครือข่ายการค้า และถ่ายโอนอาวุธอย่างผิดกฎหมาย ส่วนข้อมติฯ ที่ 2396 (ค.ศ. 2017) เป็นการเสริมสร้างมาตรการตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้าย ผ่านการแบ่งปันข้อมูลด้านความมั่นคงชายแดน โดยกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า วรรค 11-13 และวรรค 15 ของข้อมติฯ ที่ 2396 (ค.ศ.2017) มีนัยสำคัญที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทยต้องปฏิบัติตามเป็นกรณีพิเศษ
15. เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
ประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต ซึ่งจะมีการลงนามในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเดินทางมาเยือนประเทศไทย ในวันที่ 15 มีนาคม 2561
ความตกลงฯ และหนังสือแจ้งให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ
มอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต.สามารถดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างความตกลงดังกล่าว เป็นการให้สิทธิประโยชน์ตามความตกลงฯ แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายจะได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้าในกรณีผู้ถือหนังสือเดินทางทูตซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูตหรือทางกงสุล หรือเป็นผู้แทนของแต่ละฝ่ายประจำองค์การระหว่างประเทศในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวของบุคคลเหล่านี้ที่ถือหนังสือเดินทางทูตที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายสามารถเดินทางเข้า พำนักและเดินทางออกจากดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน และระยะเวลาพำนักเช่นว่านั้นจะได้รับการขยายไปจนสิ้นสุดวาระประจำการของบุคคลเหล่านั้น เมื่อมีคำร้องขอของ กต.ของแต่ละฝ่ายหรือสถานเอกอัครราชทูตของแต่ละฝ่ายที่มีเขตอาณาในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง
ทั้งนี้ บุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่มีส่วนร่วมในการทำงาน การทำธุรกิจ และการทำกิจกรรมอื่นที่มีค่าตอบแทน อาทิ บุคคลเหล่านั้นจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่บังคับใช้อยู่ในดินแดนของภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจมีสิทธิที่จะปฏิเสธการเดินทางเข้าหรือยกเลิกการพำนักของบุคคลใดๆ ที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราได้
ความตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 60 นับแต่วันที่ภาคีคู่สัญญาได้รับแจ้งจากภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายผ่านช่องทางการทูตยืนยันว่า ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จำเป็นของตนเพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับ ระยะเวลา 5 ปี และจะได้รับการขยายระยะเวลาออกไปอีกวาระละ 5 ปี เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิก โดยแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า 90 วัน
16. เรื่อง กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO IGC) ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างกรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม [WIPO (World Intellectual Property Organization) Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : WIPO IGC] เพื่อให้คณะผู้แทนเจรจาของไทยสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการเจรจาการประชุม WIPO IGC หรือจนกว่าจะสรุปผลการเจรจา WIPO IGC ได้ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
การประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO IGC) จัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากนวัตกรรมที่ได้รับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทั่วไป และนำไปสู่ความตกลงหรือการจัดทำกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับความคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกโดยกรอบเจรจา WIPO IGC ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นพื้นฐานในการเจรจา ภายใต้อาณัติการทำงานของ WIPO IGC ปี 2559 - 2560 ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจากประเทศที่เข้าร่วมเจรจามีแนวคิดและผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างมาก
ที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ครั้งที่ 57 เมื่อวันที่ 2 - 11 ตุลาคม 2560 มีมติเห็นชอบให้มีการต่ออาณัติและแผนการทำงานของ WIPO IGC ต่อไปอีก 2 ปี (2561 - 2562) ประกอบกับร่างข้อบทการเจรจา WIPO IGC ที่ผ่านมา มีการปรับปรุงโครงสร้างของข้อบทการเจรจา กรอบเจรจาเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 ไม่ครอบคลุมประเด็นการเจรจาที่ใช้ในการประชุมปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์จึงได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อพิจารณาปรับร่างกรอบเจรจา WIPO IGC โดยใช้กรอบเจรจาเดิมที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังกล่าวเป็นพื้นฐาน คงหลักการและสาระสำคัญของกรอบเจรจาเดิมมีการแก้ไขเพียงเล็กน้อย โดยจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้เกิดความชัดเจน เพิ่มข้อบทให้สอดคล้องกับร่างข้อบทปัจจุบัน เช่น ด้านทรัพยากรพันธุกรรม เพิ่มข้อบทเกี่ยวกับ (1) วัตถุประสงค์และหลักการในการให้ความคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมระดับประเทศและระหว่างประเทศ (2) เนื้อหา สาระ คำจำกัดความ และประเภทของทรัพยากรพันธุกรรมที่ควรคุ้มครอง และ (3) ข้อจำกัดและข้อยกเว้นสำหรับทรัพยากรพันธุกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพันธุกรรม และขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อร่างกรอบเจรจา WIPO IGC ดังกล่าวเพื่อให้คณะผู้แทนเจรจาของไทยสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการเจรจาการประชุม WIPO IGC หรือจนกว่าจะสรุปผลการเจรา WIPO IGC ได้ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการเจรจาฯ อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้ จะมีการประชุม WIPO IGC ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 19 - 23 มีนาคม 2561 ณ สำนักงานใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
17. เรื่อง การขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 8 (The 8th World Water Forum)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 8 (The 8th World Water Forum)
2. อนุมัติให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ร่วมรับรองในปฏิญญาดังกล่าว
3. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของ ทส.เป็นผู้พิจารณาโดยไม่ต้องนำกลับไปเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่ จนสิ้นสุดการประชุม
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า
1. การประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 8 (The 8th World Water Forum) กำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-23 มีนาคม 2561 ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ภายใต้หัวข้อ “การแบ่งปันน้ำ” (Sharing Water) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อเสนอแนะเชิงเทคนิค การเมือง และสถาบัน ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกลุ่มประชาสังคมแลกเปลี่ยนวิธีการแก้ไขปัญหา การปฏิบัติที่เป็นเลิศเพื่อให้การใช้น้ำเกิดประโยชน์สูงสุดและแลกเปลี่ยนการดำเนินงานระหว่างประเทศ โดยในการประชุมระดับรัฐมนตรีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม 2561 ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ 2 กิจกรรม คือ
1.1 การรับรองปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 8 (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมระดับรัฐมนตรีของผู้แทนประเทศที่เข้าร่วมการประชุม
1.2 การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Roundtable Meeting) เป็นการประชุมคู่ขนานใน 6 หัวข้อ ได้แก่ (1) สภาพภูมิอากาศ (2) ประชาชน (3) การพัฒนา (4) เมือง (5) ระบบนิเวศ และ (6) การเงิน
2. ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วย ข้อเรียกร้องเร่งด่วนให้มีการดำเนินการด้านน้ำอย่างเด็ดขาด ดังนี้
2.1 เริ่มต้นใหม่และเสริมสร้างพันธสัญญาทางการเมืองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพื่อก้าวผ่านความท้าทายที่เกี่ยวข้องด้านน้ำและการสุขาภิบาล และบรรลุเป้าประสงค์ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำ
2.2 เรียกร้องให้จัดเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงระหว่างการประชุมเวทีเสวนาระดับสูงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ในปี พ.ศ. 2561 ณ นครนิวยอร์ก เพื่อกระตุ้นผู้มีบทบาททางการเมือง
2.3 เชิญชวนให้เวทีหารือทางการเมืองระดับสูงมีการพิจารณาหรือทบทวนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อ 6 ในเรื่องผลลัพธ์ของกระบวนการทางการเมืองหัวข้อสำคัญ ภูมิภาค ความยั่งยืน และพลเมืองในการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 8
2.4 กระตุ้นรัฐบาลให้ก่อตั้งหรือเสริมสร้างนโยบายและแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการในระดับชาติและระดับต่ำกว่าตามที่เหมาะสม
2.5 สนับสนุนการจัดการองค์กรด้านน้ำระดับชาติและระดับต่ำกว่าตามที่เหมาะสมที่มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และมีความรับผิดชอบ
2.6 ระดมทุนและจัดสรรทรัพยากรทางการเงินที่เพียงพอจากแหล่งเงินทุนต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกำลังพัฒนา ส่งเสริมความท้าทายพิเศษเฉพาะด้าน และความเสี่ยงของประเทศเหล่านั้น
2.7 พัฒนาและแบ่งปันวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของความท้าทายด้านน้ำและการสุขาภิบาล รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2.8 ใช้ประโยชน์จากการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรที่เกิดขึ้นในช่วงการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 8 ภายใต้กระบวนการที่มีความหลากหลายเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานตามปฏิญญาฉบับนี้ในระยะยาว
18. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 6
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 6 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมการคมนาคมขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) “ระยะแรก” โดยประเทศสมาชิกทั้งหมด มีผลให้การออกใบอนุญาตการขนส่งทางถนน และเอกสารนำเข้าชั่วคราว สำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ [1 มิถุนายน พ.ศ. 2561] ให้เจ้าหน้าที่อาวุธโสของคณะกรรมการอำนวยความสะดวกการขนส่งแห่งชาติ (NTFCs) ดำเนินการตรวจสอบการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจ “ระยะแรก”ประเด็นปัญหาด้านการดำเนินงานที่อาจเกิดขึ้นและรายงานต่อคณะกรรมการร่วมเพื่อทราบความคืบหน้าและผลของการดำเนินการเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง
แต่งตั้ง
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายอนุกูล เจิมมงคล ผู้อำนวยการสำนัก 1 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560
2. นายฤทธี ศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนัก 11 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านข่าวกรองความมั่นคงและสถาบันหลัก (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2560
3. นายเศรษฐภักค์ ภู่พันธ์ศรี ผู้อำนวยการสำนัก 6 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการดำเนินงานข่าวกรองในต่างประเทศ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2560
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายสมชาย เสียงหลาย ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร แทนประธานกรรมการและกรรมการที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2560 รวม 7 คน ดังนี้
1. นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการ
2. นางสาวบุษราภรณ์ กอบกิจพานิชผล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายสุเทพ นิ่มสาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายณรงค์ คองประเสริฐ กรรมการภาคเอกชน
6. นายสรภพ เชื้อดำรง กรรมการภาคเอกชน
7. นายอนุชา ดำรงมณี กรรมการภาคเอกชน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอแต่งตั้ง นางสาวสุทธาภา อมรวิวัฒน์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจและการลงทุนในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ แทน นายภักดี โพธิศิริ ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ โดยให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
1. รับทราบกรณี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเนื่องจากลาออก เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560
2. เห็นชอบแต่งตั้ง นายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสอาด เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนผู้ที่ลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย เพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี