จากกรณี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสนอให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยื่นตีความร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ว่ามีความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ฝ่าย ส.น.ช. ยังคงยืนยันจะยื่นตีความร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. เพียงฉบับเดียว เพราะเห็นว่าร่าง พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. ไม่มีเนื้อหาขัดต่อร่างรัฐธรรมนูญเหมือนอย่างที่ นายมีชัย กังวลแต่อย่างใด
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเอกสารที่ นายมีชัย ส่งให้กับ สนช. นั้น ได้ระบุถึงข้อห่วงกังวล 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรกมาตรา 35 การตัดสิทธิเป็นข้าราชการการเมือง หากไม่ไปเลือกตั้ง เพราะการที่ผู้ใดจะเข้ารับตำแหน่งไม่ใช่สิทธิ แต่เป็นเสรีภาพ จึงกังวลว่า เป็นการเขียนเกินขอบเขตการจำกัดสิทธิตามมาตรา 95 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ
ส่วนประเด็นที่สอง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ โดย นายมีชัย ระบุว่า การกำหนดให้บุคคลอื่นหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง สามารถลงคะแนนแทนผู้พิการและให้ถือเป็นการออกเสียงโดยตรงและลับ อาจขัดต่อมาตรา 85 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ ส.ส.มาจากการลงคะแนนโดยตรงและลับ
โดย นายมีชัย ชี้ว่า การที่ สนช. กำหนดไว้เช่นนั้น เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆว่า การลงคะแนนดังกล่าวไม่ตรงและลับ จึงต้องกำหนดเพื่อผูกมัดเอาไว้ แต่ก่อนหน้านี้เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549 ที่ระบุถึงหลักการเลือกตั้งโดยลับว่า จะต้องดำเนินการเลือกตั้งโดยไม่ให้ผู้ใดทราบเลยว่า ผู้ลงคะแนนตัดสินใจเลือกใคร โดยคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นบรรทัดฐานและมีผลผูกพันกับทุกองค์กร
ดังนั้น จึงเลี่ยงได้ยากที่จะชี้ว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ฉบับนี้ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549 นั้น เป็นการวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้พิจารณาว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นไปโดยชอบรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดย 1 ใน 4 ประเด็น เป็นกรณีเกี่ยวกับการจัดคูหาเลือกตั้งที่ผู้เลือกตั้งหันหน้าเข้าคูหาลงคะแนน และหันหลังให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง และประชาชนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง กับบุคคลภายนอกที่มาสังเกตการณ์การเลือกตั้งหน้าหน่วย ซึ่งเป็นการละเมิดหลักการเรื่องการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ต้องดำเนินการโดยใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ
โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ไว้ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 104 วรรคสาม บัญญัติว่า “การเลือกตั้งให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ” ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ยังบัญญัติให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของชนชาวไทย และมาตรา 104 วรรคสาม ยังบัญญัติรับรองคุ้มครองการใช้สิทธิเลือกตั้งนี้ไว้ว่า การเลือกตั้งให้ใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ ดังนั้น การจัดคูหาให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาปฏิบัติหน้าที่ลงคะแนนในการเลือกตั้งก็จะต้องคํานึงถึงวิธีการลงคะแนนเสียงโดยลับด้วย
ทั้งนี้แม้การดำเนินการจัดรูปแบบคูหาใหม่ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) จะเป็นไปโดยมีเจตนาสุจริต มุ่งหมายให้เกิดความเที่ยงธรรม รวมทั้งไม่มุ่งบังคับใช้เป็นกับผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ แต่จากคำชี้แจงของ ก.ก.ต. ที่ระบุว่า การจัดคูหารูปแบบใหม่นี้ เพื่อให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง สามารถสังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งขณะลงคะแนนได้ ทําให้การลงคะแนนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อยู่ในระยะห่างที่กรรมการการเลือกตั้งประจําเขตเลือกตั้ง อันมีผู้แทนพรรคการเมืองซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการเลือกตั้งร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย และอยู่ในวิสัยที่สามารถมองเห็นด้วยเช่นกัน
การลงคะแนนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้การจัดคูหารูปแบบใหม่ จึงไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การจัดคูหาเลือกตั้งดังกล่าว จึงเป็นการเลือกตั้งที่ทําให้เกิดผลของการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ หากพิจารณารายละเอียดคำวินิจฉัยดังกล่าว จึงทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. อาจมีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งทางเดียวที่จะปลดล็อกเรื่องดังกล่าวได้ ก็คือ การยื่นตีความเนื้อหากฎหมายต่อศาลรัฐธรรมนูญ
อันจะนำมาซึ่งบทสรุปในท้ายที่สุดว่า ต้องเลื่อนโรดแมปการเลือกตั้งออกไปอีกอย่างแน่นอน!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี