'สุเทพ'นำทีม 23 กบฎกปปส. ขี้นศาล ร้องศาลอย่ารวมพิจารณา ชี้ อัยการฟ้องข้อหาครอบจักรวาลเหมารวมไม่แยกข้อหาแต่ละคน
19 มี.ค.61 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 08.45 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท), นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และอดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์, นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตแกนนำ กปปส. อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์, นางอัญชะลี ไพรีรัก อดีตพิธีกรเวทีชุมนุม กปปส. และแนวร่วม กปปส. จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำเลยคดีร่วมกันกบฏ, สนับสนุนกบฏ , ขัดขวางการเลือกตั้งฯ และข้อหาอื่นรวม 8-9 ข้อหา พร้อมด้วยทนายความ เดินทางมาเพื่อตรวจหลักฐาน คดีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้องไว้ 2 สำนวน คือหมายเลขดำ อ.247/2561 ยื่นฟ้อง "นายสุเทพ" อดีตเลขาธิการ กปปส. และแกนนำ กปปส. รวม 9 คน และคดีหมายเลขดำคดีหมายเลขดำ อ.832/2561 ที่อัยการยื่นฟ้อง นางอัญชะลี ไพรีรัก, พระพุทธอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และแนวร่วม กปปส. รวม 14 คน
โดยก่อนขึ้นห้องพิจารณา นายสุเทพ กล่าวว่า พวกตนและบรรดาจำเลย ทั้ง 2 รุ่น ซึ่งรุ่นแรก คือ แกนนำ 9 คนที่อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 ม.ค. และจำเลยรุ่นที่ 2 รวม 14 คน ที่อัยการเพิ่งยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้นัดให้มาตรวจหลักฐานพร้อมกันในวันนี้ รวมจำเลยทั้งหมด 23 คนฐานเป็นกบฏต่อแผ่นดิน , เป็นอั้งยี่ , ซ่องโจร , ทำผิด พ.ร.ก.บริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ , บุกรุกสถานที่ราชการ , ขัดขวางการเลือกตั้ง ฯลฯ แต่ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วผู้ที่ฟ้องเป็นจำเลยทุกคนไม่ได้มีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหา บางคนเพียงแค่ขึ้นเวทีปราศรัยให้ความรู้กับประชาชน บางคนก็เพียงแค่ไปชุมนุมเป็นครั้งคราวตามโอกาสเท่านั้น ดังนั้นวันนี้ พวกตนก็จะยื่นคำร้องต่อศาลขอ อย่าได้นำคดีทั้ง 2 สำนวน หรือเอาจำเลยทั้ง 23 คนมารวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันเลย เพราะจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี และต่อกระบวนการยุติธรรมจึงให้ศาลแยกพิจารณาเป็นคดีๆ ไป แต่หากสุดท้ายศาลมีคำสั่งว่าเพื่อความสะดวกให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันหรือมีคำสั่งใด เราก็ต้องยอมรับเช่นนั้น
"แน่นอนว่า ผมและแกนนำ กปปส. รวม 9 คนเราต้องรับผิดชอบทุกข้อหาอยู่แล้ว และยินดีที่จะเข้ารับการพิจารณาเป็นชุดแรก แต่บรรดา 14 คนที่ยื่นฟ้องมาชุดหลังอยากให้ศาลได้พิจารณาว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้อัยการถอนฟ้องไปก่อน เพื่อสอบสวนใหม่ให้ชัดเจนว่าพฤติกรรมของแต่ละที่เกี่ยวข้องในการชุมนุม ที่แท้จริงแล้วมีอะไรบ้างก็ฟ้องไปตามนั้น เช่นถ้าผิดฐานขัดขวางเลือกตั้ง ก็ฟ้องข้อหาขัดขวางการเลือกตั้ง หรือมีพฤติการณ์ไปบุกรุกสถานที่ราชการไหนก็ฟ้องฐานบุกรุกฯ แต่บางคนแค่มาขึ้นเวทีปราศรัยผมก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาข้อหาอะไร ดังนั้น สมควรที่สำนักงานอัยการฯ จะพิจารณาว่า หากยังยึดหลักความยุติธรรมอยู่ควรจะให้โอกาสจำเลย"
นายสุเทพ กล่าวและว่า ในทางกฎหมายหลักการดำเนินคดีอาญาต้องถือว่า จำเลยด้อยโอกาส เสียโอกาส พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อัยการ มีโอกาสทำสำนวนตั้ง 4 - 5 ปี แจ้งข้อหามาก็ต้องให้จำเลยได้รวบรวมข้อเท็จจริงไปแสดง แล้วจำเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการประกอบอาชีพ การทำหน้าที่ฐานะสื่อมวลชน ครูบาอาจารย์ ซึ่งจะได้ไปทำประโยชน์ให้กับสังคมตามหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา แทนที่จะมัดรวมมามัดเดียวกันแล้วต้องมาศาลทุกคนทุกนัด ซึ่งหากใครไม่มาสักคนก็พิจารณาคดีไม่ได้
เมื่อถามว่า การกล่าวเช่นนี้ เท่ากับต้องการจะกันแนวร่วม กปปส. ทั้ง 14 คน ออกจากข้อหาร่วมกบฏ ใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวปฏิเสธว่า ตนไม่ได้พูดเช่นนั้น พวกตนประชาชนทุกคนไมใช่เฉพาะ 14 คนนี้ แต่เป็นล้านๆ คนที่ก่อนออกมาต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน เรารู้แล้วว่าเราต้องเจออะไรบ้างและเราก็พร้อมเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แต่เราขอความเป็นธรรมว่า อย่าเอาข้อหาครอบจักรวาลมาใส่ แต่ขอให้ว่าไปตามความผิดของแต่ละคน
เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับแนวร่วม กปปส. ที่เหลืออีก 27 ราย ประสานให้มาพบกับอัยการตามวันนัดครั้งที่ 3 ในวันที่ 19 เม.ย.61 นี้หรือไม่ หลังจากเลื่อนมาแล้วถึง 2 ครั้ง "นายสุเทพ" กล่าวว่า มีความจำเป็นของแต่ละคน ซึ่งบางคนก็ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บางคนก็มีภารกิจอย่างอื่นก็มีเหตุผลที่จะเลื่อน ส่วนตัวยังไม่ได้ประชุมพิจารณาอะไรกัน เท่าที่พูดคุยกันนี้ก็บรรดากลุ่มที่ถูกฟ้องแล้วเพราะร่วมกันกันต่อสู้คดี ซึ่งพวกเราให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พวกตนเป็นพลเมืองดีออกมาสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน ไม่ได้ทำอะไรที่ทำผิดคิดร้ายต่อประเทศชาติต่อประชาชน คดีอาญา
เมื่อถามว่าทราบเรื่องที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หนึ่งในจำเลยร่วม ได้ฟ้องกลับอดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ กับการสั่งฟ้องคดี ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า จริงๆ แล้วตนก็เห็นด้วยแต่ว่าไม่ได้คุยกับนายไพบูลย์ ใจจริงตนก็คิดๆ อยู่ว่าน่าจะทบทวนว่าสิ่งที่อัยการได้ดำเนินการมาถูกต้องหรือไม่ อัยการถ้าดำเนินการผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีเหมือนกัน ซึ่งตนยังคิดว่างานนี้อัยการไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถจิตวิญญาณในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมให้สมบูรณ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี