"มท.1" เผย"นปถ." ดันแก้กฎหมาย ใช้คะแนนความประพฤติ 3 กลุ่ม เข้มช่วยลดเจ็บตายบนถนน "ตร." แจงยิบ เผยกฤษฎีกาไฟเขียว เร่งชง “ครม. – สนช.”เคาะบังคับใช้
23 มี.ค. 61 ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (นปถ.) ครั้งที่ 1/61 ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมว่า หลักๆคือการให้ความเห็นชอบแผนอำนวยความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่จะมีมาตรการต่างๆเหมือนที่ผ่านมา เช่น มาตรการทางถนน การใช้รถ โดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่จะสร้างความตระหนัก รณรงค์ให้มีวินัย ปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ดื่มสุรา และขับรถเร็ว รวมถึงการกำหนดพื้นที่ที่มีสถิติอุบัติเหตุสูง ก็จะให้ความเข้มข้นในการปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น เช่น เพิ่มจุดตรวจจับความเร็วเพื่อลดสถิติ สำหรับการบังคับใช้กฎหมาย ก็ยังเป็นเช่นเดิม มีการตั้งจุดตรวจ ตรวจจับความเร็ว ดื่มสุรา มีการยึดรถ และให้หน่วยงานต่างจัดจุดพักรถสำหรับประชาชน
รมว.มหาดไทย กล่าวว่า นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีการเสนอแผนแม่บทเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน ปี 2561 – 64 ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับเนื้อหาตามที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการเสนอเข้าตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ส่วนที่มีการเสนอให้ตั้งสถาบันวิชาการเพื่อมาแก้ไขปัญหาความปลอดภัยบนท้องถนนนั้น ทุกคนเห็นด้วย แต่การตั้งสถาบันวิชาการในเรื่องนี้ ในที่ประชุมเห็นว่าดำเนินการได้ยาก เพราะความปลอดภัยทางถนน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ถ้าจะตั้งสถาบันวิชาการขึ้นมา ต้องใช้โครงสร้างใหญ่ และใช้งบประมาณจากภาครัฐเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นแนวทางที่น่าจะดำเนินการได้เร็ว และทำได้แน่ๆ คือรูปแบบคณะกรรมการโดยนำบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องมาจัดเป็นกรรมการ แล้วนำผลงานทางวิชาการที่พิจารณามาเข้าที่ประชุม นปถ. แล้วนำไปผลักดันต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ถ้าหน่วยงานอย่างสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ กพ. มาร่วมประชุม ก็คงจะค้าน เพราะมีหลายหน่วยงาน และจะไม่มีคนไป เช่น หน่วยงานด้านสาธารณสุขเป็นหน่วยงานที่จำเป็นในเรื่องความปลอดภัยบนถนน ถ้าตั้งสถาบันวิชาการ แล้วนำหมอมาอยู่ คงจะไม่มีใครมา แต่ถ้าเป็นรูปแบบกรรมการได้ แล้วรัฐก็ไม่ต้องเสียเงินมาก เพียงแค่จัดประชุม” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ขณะเดียวกันทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็ได้เสนอขอแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนน ตั้งแต่ พักใบขับขี่ การเพิ่มโทษต่างๆที่ละเอียดอ่อนลงไป คือ บังคับให้ประชาชนใช้รถใช้ถนนให้ดี ที่สำคัญยังมีการประเมินเกี่ยวกับการแสดงความประพฤติ มีการกำหนดคะแนนความประพฤติ มีการตัดคะแนน และมีผลตามมา อย่างไรก็ดี กฎหมายที่ทางตำรวจเสนอเป็นกฎหมายรองหลังจากร่างพ.ร.บ.จราจรที่ตำรวจเสนอแล้วเสร็จ ก็จะตามมา ซึ่งที่ประชุมก็ให้ความเห็นชอบ และพล.อ.ประวิตรก็ได้สั่งการให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่ขั้นตอนการดำเนินการทางตำรวจต้องเสนอไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ด้านพล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 ในฐานะหน่วยเกี่ยวข้องเสนอแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนน กล่าวในรายละเอียดว่า พล.อ.ประวิตร ได้ให้นโยบายไปศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน และการทำผิดกฎจราจรของคนไทยที่มีค่อนข้างมาก โดยได้เสนอ 2 ส่วน
1.ประชาชนที่ใช้รถบนถนนสาธารณะ ต้องได้รับการอนุญาต ต้องไปเรียนกฎหมาย ไปอบรม และต้องไปสอบทักษะการควบคุมรถก่อนว่า มีความสามารถพอหรือไม่ ถ้าสอบแล้วเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ก็จะได้รับสิทธิ์
2.มีพฤติกรรมในขับขี่ที่ดี ไม่กระทบบุคคลอื่น ซึ่งเราเสนอแก้ไขกฎหมายเพิ่มบทบัญญัติกำหนดโทษทางปกครอง โดยการตัดคะแนนความประพฤติ เหมือนต่างประเทศ
“เมื่อคะแนนหมดจะถูกสั่งพักใช้รถ คือถูกตัดสิทธิ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถ้าหมดกำหนดระยะเวลาแล้ว กลับมาขับรถ ยังมีพฤติกรรมที่จงใจละเมิดกฎหมายอีก ในครั้งต่อๆไปจะมีการพักใช้ที่ยาวนานขึ้น และอาจนำไปสู่ถึงการเพิกถอนสิทธิ์ในการขับรถ ขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากกฤษฎีกาแล้ว ต่อจากนี้จะนำเข้าสู่คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อนำเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเร่งพิจารณาออกมาเป็นกฎหมายให้เร็วที่สุด เราเชื่อว่า แนวทางนี้จะทำให้ประชาชนมีวินัยการจราจร เป็นหนทางที่นำไปสู่แนวทางลดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ดีมีประสิทธิภาพในอนาคต” พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าว
ผู้บังคับการฯสันติบาล3 กล่าวอีกว่า สำหรับเกณฑ์คะแนนความประพฤติ ในเบื้องต้นเราได้วางไว้คือ มีคะแนนให้ 12 คะแนน แบ่งการตัดคะแนนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1.ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่สวมหมวกกันน็อก ขับรถเร็ว ตัด 1 คะแนน
กลุ่มที่ 2.ฝ่าไฟแดง ย้อนศร ตัด 2 คะแนน
กลุ่มที่ 3.เมาแล้วขับ ยาเสพติด ชนแล้วหนี จะตัดเพิ่มขึ้นไปอีก
รวมไปถึงรถบริการสาธารณะด้วย เมื่อถูกตัดคะแนนแล้วในวันนั้น นับไปอีก 12 เดือน จะได้คะแนนเหล่านั้นคืน ทำให้ต้องระมัดระวังไม่ให้คะแนนหมด แล้วเราจะพัฒนาระบบตรวจสอบสถานะให้สามารถรู้ได้ว่ามีกี่คะแนน ถูกตัดไปเท่าไหร่
ขณะเดียวกันในใบสั่งรุ่นใหม่ จะเปิดช่องทางให้สามารถปฏิเสธ และต่อสู้คดีได้ เพื่อเพิ่มกระบวนการให้เป็นธรรม ป้องกันการถูกกล่าวหาฝ่ายเดียว เปรียบเหมือนเป็นเครดิตให้ผู้ใช้รถใช้ถนน ถ้าเครดิตหมด ก็หมดสิทธิ์ขับ
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวว่า เมื่อกระทำผิด หากถูกใบสั่ง แล้วไปเสียค่าปรับ เสียแต้ม แต่ถ้าไม่ไปเสียค่าปรับ ก็จะเสีย 2 เท่า เช่น เรามี 12 คะแนน หากไปขับรถเร็ว เสียค่าปรับ 500 บาท ถูกตัด 1 คะแนน แต่ถ้าเกิดปล่อยให้พ้นกำหนดตามระยะเวลา จะมีความผิดตามมาตรา 155 แห่งพ.ร.บ.จราจรทางบก คือขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน และรัฐก็จะไม่ประสงค์เงินค่าปรับแล้ว แต่จะดำเนินการทางปกครอง คือ ตัดคะแนนความประพฤติเป็น 2 คะแนน ส่วนประชาชนที่อยู่ต่างจังแล้วมีปัญหาเรื่องเงิน หากนานๆทำผิดเสียแต้มไม่เป็นไร แต่ถ้าทำผิดซ้ำๆ จงใจละเมิดกฎหมาย เราจะมีมาตรการทางปกครองที่ค่อนข้างรุนแรง
“ในร่างกฎหมายใหม่นี้ จะไม่มีการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่แล้ว แต่จะใช้ระบบจีพีเอส คือจะเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด ต่อจากนี้ตำรวจจะมีหน้าที่ตรวจ แล้วออกใบสั่ง ข้อมูลการทำความผิดจะถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ จะจ่ายหรือไม่ เป็นเรื่องของคุณ เพราะถ้าจ่ายก็ราคาหนึ่ง ไม่จ่ายก็อีกราคาหนึ่ง ใบขับขี่เราไม่ได้อยากได้” ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี