วันนี้ (17 เมษายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ และพันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แบ่งออกเป็น 6 หมวด และบทเฉพาะกาลรวมทั้งสิ้น 68 มาตรา
สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.กำหนดให้สถาบันพระบรมราชชนกเป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ ในด้านการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข และสหเวชศาสตร์ มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ อยู่ในสังกัด สธ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรตามความต้องการของ สธ. ให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพ ทำการสอน ทำการวิจัย ทำการฝึกอบรม และให้บริการทางวิชาการแก่สังคม โดยมุ่งเน้นการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุขเป็นสำคัญ
2. กำหนดให้วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศรจังหวัดปราจีนบุรี วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีทุกแห่ง วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรี วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม และวิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก ที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเป็นส่วนราชการของสถาบัน
3. กำหนดให้สถาบันแบ่งส่วนงานออกเป็น (1) สำนักงานอธิการบดี (2) คณะ และ (3) สำนัก และให้สถาบันมีอำนาจให้ความร่วมมือกับสถาบันศึกษาอื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยรับสถานศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันอื่นเข้าสมทบในสถาบัน หรือจัดการศึกษาหรือดำเนินการวิจัยร่วมกับสถานศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันอื่นในประเทศหรือต่างประเทศ หรือขององค์การระหว่างประเทศได้
4. กำหนดให้รายได้และผลประโยชน์ของสถาบัน รวมทั้งผลประโยชน์ที่เกิดจากที่ราชพัสดุ เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา และเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาการซื้อทรัพย์สินหรือสัญญาจ้างทำของที่ดำเนินการโดยใช้เงินงบประมาณ ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
5. กำหนดให้เงินและทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้แก่สถาบันต้องจัดการตามเงื่อนไขที่ผู้อุทิศกำหนดไว้และต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน
6. กำหนดให้มีสภาสถาบัน ประกอบด้วยนายกสภาสถาบัน อุปนายกสภาสถาบัน กรรมการ สภาสถาบันผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการสภาสถาบันโดยตำแหน่ง และกรรมการสภาสถาบัน และให้สภาสถาบันมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด
7. กำหนดให้มีสภาวิชาการ ประกอบด้วย ประธานสภาวิชาการและกรรมการสภาวิชาการ มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบายและแผนพัฒนาทางวิชาการของสถาบันต่อสภาสถาบัน กำหนดคุณภาพและมาตรฐานวิชาการของสถาบัน เป็นต้น
8. กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของสถาบัน กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม โดยให้อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ตามที่กำหนด
9. กำหนดให้สถาบันจัดให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถาบัน
10. กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข ลูกจ้าง อัตรากำลัง งบประมาณ และรายได้ของสถาบันพระบรมราชชนก สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เว้นแต่วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุข และแก้วกัลยาสิกขาลัย ไปเป็นของสถาบันพระบรมราชชนกตามพระราชบัญญัตินี้ ตามรายการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
3. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม คำว่า "พนักงาน" และเพิ่มบทนิยามคำว่า “กองทุน”และ "สถานศึกษา" เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
2. แก้ไขเพิ่มเติมพื้นที่ในการตั้งสำนักงานใหญ่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
3. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยมีอำนาจหน้าที่เพิ่มเติมในการกำหนดจำนวนและรูปแบบของสลากกินแบ่งรัฐบาล วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่าง
4. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและผู้รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการเกี่ยวกับการบรรจุแต่งตั้ง เลื่อนเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างเพื่อลดภารกิจของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล
5. แก้ไขเพิ่มเติมการจัดสรรเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล และการจัดการเงินดังกล่าวรวมทั้งดอกผลที่เกิดขึ้น
6. แก้ไขเพิ่มเติมการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การบัญชีของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และ การประกาศหมายเลขสลากกินแบ่งรัฐบาลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจำหน่ายเอง
7. กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนบริหารสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพัฒนาสังคม
8. แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษสำหรับความผิดในกรณีการเสนอขาย หรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนดในสลากกินแบ่ง และกำหนดเพิ่มเติมความผิดในกรณีการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในสถานศึกษา และการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลแก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการเพื่อสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการเพื่อสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทย) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้มีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์หรืออาคารชุดตามประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ค่าธรรมเนียมการโอนทะเบียนรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเครื่องจักรตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องจักรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทย ตามที่ กค. เสนอต่อไปด้วย
3. ให้ กค. รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการ ที่ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
2. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ สำหรับเงินได้พึงประเมิน รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
3. กำหนดให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ สำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน
4. กำหนดให้ยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน หรือการเปลี่ยนแปลงหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการควบเข้ากันหรือการรับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน แต่ไม่ใช่เป็น การซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ให้แก่
4.1 ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกิดจากการควบรวมแล้วมีสินทรัพย์รวมเกินกว่า 4 ล้านล้านบาท สามารถหักรายจ่ายจากการควบรวมเป็นจำนวน 2 เท่า (ร้อยละ 100 ของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง)
4.2 ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกิดจากการควบรวมแล้วมีสินทรัพย์รวมเกินกว่า 3 ล้านล้านบาท แต่ไม่เกิน 4 ล้านล้านบาท สามารถหักรายจ่ายจากการควบรวมเป็นจำนวน 1.75 เท่า (ร้อยละ 75 ของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง)
4.3 ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกิดจากการควบรวมแล้วมีสินทรัพย์รวมเกินกว่า 2 ล้านล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านล้านบาท สามารถหักรายจ่ายจากการควบรวมเป็นจำนวน 1.5 เท่า (ร้อยละ 50 ของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง)
4.4 ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เกิดจากการควบรวมแล้วมีสินทรัพย์รวมเกินกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท สามารถหักรายจ่ายจากการควบรวมเป็นจำนวน 1.25 เท่า (ร้อยละ 25 ของรายจ่าย ตามจำนวนที่จ่ายจริง)
ทั้งนี้ รายจ่ายที่สามารถนำไปหักรายจ่ายได้จะต้องเป็นรายจ่ายตามที่กำหนด และเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตามความข้างต้นต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ควบเข้ากันหรือรับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
สธ. เสนอว่า
1. เนื่องจากมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 กำหนดนิยาม “เครื่องสำอาง” หมายความว่า (1) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใดกับส่วนภายนอกของร่างกายมนุษย์ และให้หมายความถึงการใช้กับฟันและเยื่อบุในช่องปาก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ความสะอาด ความสวยงาม หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฏหรือระงับกลิ่นกาย หรือปกป้องดูแลส่วนต่าง ๆ นั้น ให้อยู่ในสภาพดี และรวมตลอดทั้งเครื่องประทินต่าง ๆ สำหรับผิวด้วย แต่ไม่รวมถึงเครื่องประดับ และเครื่องแต่งตัว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ภายนอกร่างกาย (2) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางโดยเฉพาะ หรือ (3) วัตถุอื่นที่กำหนดโดยกฎกระทรวงให้เป็นเครื่องสำอาง
2. ปัจจุบันมีผ้าอนามัย 2 ชนิด คือ ผ้าอนามัยใช้ภายนอกและชนิดสอด ซึ่งผ้าอนามัยชนิดใช้ภายนอกถูกจัดเป็นเครื่องสำอาง เพราะมีวัตถุประสงค์การใช้เพื่อความสะอาดและใช้ภายนอกร่างกาย ส่วนผ้าอนามัยชนิดสอดมีวัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อความสะอาด โดยต้องสอดเข้าไปในช่องเปิดของร่างกายซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ปรากฏว่าผ้าอนามัยชนิดสอด ไม่เข้าข่ายเป็นเครื่องสำอางตามบทนิยามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558
3. ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการควบคุมคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์สุขอนามัย และความปลอดภัยของผู้ใช้ สมควรกำหนดให้ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอางตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอางพ.ศ. 2558 จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. .... ขึ้น โดย สธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว
4. ในคราวประชุมคณะกรรมการเครื่องสำอางเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ได้มีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดบทนิยามคำว่า "ผ้าอนามัยชนิดสอด" หมายความว่า ผ้าอนามัยที่ใช้สอดใส่เข้าในช่องคลอด เพื่อดูดซับเลือดประจำเดือน (ระดู)
2. กำหนดให้ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทสถานที่ใช้ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทสถานที่ใช้ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดบทนิยามคำว่า "ก๊าซปิโตรเลียมเหลว""สถานที่ใช้" "ถังก๊าซหุงต้ม" "ถังเก็บและจ่ายก๊าซ" "กำแพงกันไฟ" และ "บริเวณอันตราย"
2. กำหนดให้การคิดปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลวในถังก๊าซหุงต้มให้คิดคำนวณปริมาณ 1 ลิตร เท่ากับ 0.5 กิโลกรัม
3. กำหนดลักษณะของถังก๊าซหุงต้ม การออกแบบ การผลิตหรือสร้างและการทดสอบและตรวจสอบถังเก็บและจ่ายก๊าซ
4. กำหนดสถานที่ใช้ ลักษณะที่สอง แผนผังและรูปแบบ การเก็บถังก๊าซหุงต้ม การวางระบบท่อ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวและอุปกรณ์ในสถานที่ใช้ รวมถึงการป้องกันและระงับอัคคีภัย
5. กำหนดสถานที่ใช้ ลักษณะที่สาม ซึ่งใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากถังก๊าซหุงต้ม การเก็บถังก๊าซหุงต้ม แผนผังและรูปแบบ การวางระบบท่อก๊าซปิโตรเลียมเหลวและอุปกรณ์ในสถานที่ใช้ การตั้งกลุ่มถังก๊าซหุงต้ม รวมถึงการป้องกันและระงับอัคคีภัย
6. กำหนดวิธีการป้องกันและระงับอัคคีภัย รวมถึงต้องจัดให้มีพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานตามกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงใน การประกอบกิจการสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทสถานที่ใช้
6. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่งรวมกับร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. เพิ่มบทนิยามคำว่า "กระบวนการพิจารณาอนุญาต" ให้สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว
2. แก้ไขเพิ่มเติมอายุของใบรับจดแจ้ง จากหนึ่งปีเป็นสองปีนับแต่วันที่ปรากฏในใบรับจดแจ้ง
3. กำหนดกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ดังนี้
3.1 กำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบ เพื่อให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งในกระบวนการพิจารณาอนุญาตของส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ บุคคล หน่วยงานหรือองค์กรดังกล่าว ต้องได้รับการขึ้นบัญชีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
3.2 กำหนดให้ระยะเวลาในกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์ต้องไม่เกินกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในคู่มือสำหรับประชาชน รวมทั้งการแจ้งต่อผู้ยื่นคำขอต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 โดยให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเร่งรัดกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
4. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ มีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการได้มาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ กำหนดค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งกำหนดค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์
5. กำหนดให้ค่าขึ้นบัญชีและค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บ ให้เป็นเงินของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำกิจการในอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่ได้จัดเก็บแล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไว้ ได้แก่ เพื่อเป็นค่าตอบแทนบุคคล องค์กร หรือหน่วยงานตามมาตรา 33/1 เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่เป็นประโยชน์สาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านเครื่องมือแพทย์ เป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาศักยภาพหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ เพื่อพัฒนาระบบงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการพิจารณาอนุญาตเครื่องมือแพทย์
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวม 6 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวม 6 ฉบับ ดังนี้
1.ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ....
2.ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ....
3.ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ....
4.ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมพ.ศ. ....
1.ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ....
2.ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าว รวม 6 ฉบับ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง เป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมคุมประพฤติตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2556 ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2545 ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมบังคับคดี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม พ.ศ.2556 ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2545 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2556 ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานกิจการยุติธรรม ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม พ.ศ.2545 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ.2558
เศรษฐกิจ- สังคม
8. เรื่อง ขออนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลำลูกกา คลองสอง)
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการขออนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลำลูกกา คลองสอง) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1.อนุมัติการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและ
ปริมณฑล (ลำลูกกา คลองสอง) จำนวน 820 หน่วย วงเงินลงทุนรวม 903.376 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ภายในประเทศ 814.564 ล้านบาท เงินรายได้ 88.812 ล้านบาท โดยให้การเคหะแห่งชาติสามารถดำเนินโครงการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว
2.มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาและเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน 814.564
ล้านบาท ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
3.ให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการดังต่อไปนี้
3.1ในการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ซื้อให้นำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการโดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการดังกล่าวเป็นลำดับแรก
3.2ในการดำเนินโครงการ ให้คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัยสภาพแวดล้อม และเส้นทางการคมนาคม รวมทั้ง ความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน
3.3ให้กำหนดหลักเกณฑ์การซื้อ การบริหารโครงการและการทำสัญญาซื้อขายให้รอบคอบเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงผลประโยชน์
3.4ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1.ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการเสริมสร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการสังคมและที่อยู่อาศัย โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้ พม. เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ. 2559-2568) และได้เห็นชอบแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของ กคช. ปี 2558-2560 ซึ่งโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตาม แนวเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ กคช. เป็นโครงการภายใต้แผนทั้ง 2 แผนดังกล่าวข้างต้น
2.กคช. ได้จัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลำลูกกา คลองสอง) ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1.เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้มีรายได้ปานกลาง ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ในระดับราคาที่กลุ่มเป้าหมายรับภาระได้
2.เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตด้านการอยู่อาศัย และเสริมสร้างความเสมอภาคและโอกาสในการได้รับบริการโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐอย่างเท่าเทียมกัน
3.เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการฟื้นฟูภาคธุรกิจการก่อสร้าง ตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
9. เรื่อง โครงการทุนการศึกษา ภายใต้มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขอความร่วมมือหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจในสังกัดดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) เพื่อร่วมสมทบทุนการศึกษาในโครงการทุนการศึกษาภายใต้มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และมอบให้ สลค. ดำเนินการและประสานงานกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงพลังงาน (พน.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทาน พระราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรีและคณะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
สาระสำคัญของเรื่อง
1.โครงการทุนการศึกษาภายใต้มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นโครงการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชดำริให้ดำเนินการขึ้นเมื่อปี 2552 เมื่อครั้งยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีฐานะยากจย ยากลำบาก แต่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง ต่อเนื่องในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีตามความสามารถของแต่ละคนอันเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถ และศักยภาพแก่เยาวชนไทย ต่อมาในปี 2553 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชดำริให้จัดตั้งมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ขึ้น ทรงเป็นองค์ประธานกรรมการ และทรงให้นำโครงการทุนการศึกษาฯ มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ม.พ.พ.) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป โดยที่การดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาฯ มีกลไกคณะกรรมการมูลนิธิฯ กำกับดูแลอำนวยการระดับนโยบายและคณะกรรมการบริหารจัดการทุนพระราชทานกำกับการบริหารดำเนินงานโครงการ มีคณะอนุกรรมการช่วยขับเคลื่อนประสานความร่วมมือกับฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งกลไกคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัด
2.การดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาฯ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2552-2560 ส่งผลให้มีนักเรียนที่เรียนดี ประพฤติดี แต่มีฐานะยากจน ยากลำบากได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างมั่นคงต่อเนื่องด้วยการได้รับทุนพระราชทานไปแล้วรวม 9 รุ่น โดยในปี 2561 มีนักเรียนทุนยังคงสถานะความเป็นนักเรียนทุนฯ รวมทั้งสิ้น 1,059 ราย ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 474 ราย ระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า จำนวน 585 ราย รวมเงินทุนที่ได้จัดสรรไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 318,336,524 บาท และนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา มีนักเรียนอยู่ในระบบครบทุกระดับตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนถึงระดับปริญญาตรี โดยมีการใช้จ่ายเงินทุนพระราชทานคงที่นับจากปีดังกล่าว ประมาณ 70 ล้านบาทต่อปี
3.การดูแลและพัฒนาศักยภาพนักเรียนทุนในโครงการทุนการศึกษาฯ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินการตามบทบาทภารกิจของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มท. สศช. สลค. และ มพพ. ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกคัดสรรนักเรียนทุนในแต่ละรุ่น / ปี การพัฒนาศักยภาพนักเรียนทุนด้านการศึกษา การเรียนรู้ ทักษะ และสมรรถะด้านต่าง ๆ รวมถึงการเสริมสร้างความมีจิตอาสา และการสำนึกในสถาบันทางสังคมที่สำคัญของชาติผ่านโครงการและกิจกรรมอย่างหลากหลาย
4.การขอความร่วมมือหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจในสังกัดดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา สลค. ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมสมทบทุนการศึกษาในโครงการทุนการศึกษาฯ โดยมีหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจร่วมสมทบทุนในปี 2557-2560 รวมเป็นเงิน 264.130 ล้านบาท
10. เรื่อง แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า อุตสาหกรรม FinTech มีความสำคัญต่อการให้บริการทางการเงินและจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในวงกว้าง ซึ่งประเทศต่าง ๆ ได้มีการส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech อย่างจริงจัง เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน เป็นต้น หากประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม FinTech ที่ชัดเจน รวมทั้งมีการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเพียงพอ จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech ในวงกว้าง จึงเห็นสมควรให้มีแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech ดังนี้
1.พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อให้ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการทางการเงินสามารถทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดย กค. อยู่รหว่างผลักดันโครงการดังต่อไปนี้
1.1แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) ที่ส่งเสริมการบูรณาการระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระบบภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งหนึ่งในโครงการภายใต้แผนดังกล่าว คือ การพัฒนาระบบโอนเงินพร้อมเพย์ (PromptPay) โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนมกราคม–พฤศจิกายน 2560 มีการโอนเงินผ่านระบบดังกล่าวสูงถึง 390,000 ล้านบาท และในปัจจุบัน กค.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการต่อยอดระบบเรียกเก็บเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Request to Pay) เพื่อให้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย
1.2โครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Identification Platform) กค. ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพปลอดภัย และสะดวกต่อการใช้งาน ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุริจ (Ease of Doing Business) อีกด้วย
2.ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech กค. ควรมีการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions : SFIs) เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech มากขึ้น เช่น การรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ การบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การจ่ายสวัสดิการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การเพิ่มช่องทางในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของ SFIs เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech อีกทางหนึ่ง
3.จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech (FinTech Ecosystem) ในประเทศไทย (2) เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ FinTech ได้พบปะและเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินของตนแก่ผู้ที่สนใจลงทุนหรือผู้ที่ต้องการนำนวัตกรรมไปใช้ (3) เพื่อผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการทางการเงินในประเทศไทยในทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech ของ SFIs (4) เพื่อร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจใน FinTech และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นให้แก่นักเรียนและนักศึกษา เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในอุตสาหกรรม FinTech หรือเป็นผู้ประกอบการในอนาคต (Talent Pipeline) เพื่อส่งเสริม FinTech Ecosystem ในระยะยาว (5) เพื่อบูรณาการการพัฒนาและการส่งเสริม FinTech ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธ.ป.ท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรมและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
ต่างประเทศ
11. เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1.เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ที่ 2399 (ค.ศ. 2018) เกี่ยวกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
2.กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐแอฟริกากลางเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม ให้ กต. ดำเนินการไปได้โดยไมต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ให้ กต. เสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
3.มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) สำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) ถือปฏิบัติ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษ (ห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน) ให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nstions: UN) (https://www.un.org/sc/suboug/en/sanctions/2127/) รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ กต.ทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กร และเรือที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1.UNSC ธันวาคม 2556 ข้อมติฯ ที่ 2134 (ค.ศ. 2014) เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 ข้อมติฯ ที่ 2196 (ค.ศ. 2015) เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ข้อมติฯ ที่ 2262 (ค.ศ. 2016) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2559 และข้อมติฯ ที่ 2339 (ค.ศ. 2017) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็น ซึ่งรวมถึงการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สิน เพื่อช่วยฟื้นฟูและสนับสนุนการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง
2.โดยที่สถานการณ์ภายในสาธารณรัฐแอฟริการกลางยังคงมีความอ่อนไหวและไม่แน่นอน UNSC จึงได้รับรองข้อมติ ที่ 2399 (ค.ศ. 2018) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 เพิ่มเติม โดยมีสาระสำคัญเพื่อคงมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สินต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลางตามที่ระบุไว้ในข้อมติฯ ที่ 2339 (ค.ศ. 2017) ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไป จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 ซึ่งไทยมีพันธกรณีที่จะต้องดำเนินการตามข้อมติฯ
12. เรื่อง การลงนามร่างความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับฮังการีเกี่ยวกับการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในฮังการีโดยร่วมมือกับวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกท
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1.เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามร่างความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับฮังการี เกี่ยวกับการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในฮังการีโดยร่วมมือกับวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกท (AGREEMENT BETWEEN THE KINGDOM OF THAILAND AND HUNGARY ON THE FUNCTIONING OF THE MAHACHULALONGKORNRAJAVIDYALAYA UNIVERSITY IN HUNGARY IN COOPERATION WITH THE DHARMA GATE BUDDHIST COLLEGE) ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้ ศธ. โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) หารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้นๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2.อนุมัติและมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ
3.มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามตามข้อ 2
4.มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือแจ้งฝ่ายฮังการีเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตเพื่อดำเนินการให้ร่างความตกลงฯ มีผลผูกพัน
สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ เป็นการรับรองและสนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในฮังการีโดยร่วมมือกับวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกทในสาขาพระพุทธศาสนศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เช่น ภาคีคู่สัญญาให้ความมั่นใจว่าจะสนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยจุฬาภรณราชวิทยาลัยในฮังการี โดยร่วมมือกับวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกทในสาขาวิชาพุทธศาสนาศึกษาและจะให้การยอมรับซึ่งกันและกันซึ่งประกาศนียบัตรที่ออกให้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงคุณวุฒิทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาและคุณวุฒิทางวิชาชีพ การรับรองว่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยมีสถานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ดำเนินงานอยู่ในราชอาณาจักรไทย และการคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันจากการดำเนินงานและเจตนารมณ์ของภาคีคู่สัญญาในการสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งเพิ่มเติมซึ่งความร่วมมมือทางวิชาการในสาขาพุทธศาสนาศึกษา โดยระบุองค์กรหลักที่รับผิดชอบในการดำเนินงานตามความตกลงนี้ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงศักยภาพมนุษย์ของฮังการี
13. เรื่อง กรอบการเจรจาความตกลงที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลความปลอดภัยอาหารของอาเซียน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูและความปลอดภัยอาหารของอาเซียน
2. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ตามความเหมาะสมในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
กรอบการเจรจาฯ ดังกล่าว จะนำมาใช้ในการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจ Task Force on development of legal instruments for ASEAN Food Safety Regulatory Framework (TF AFSRF) ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 – 26 เมษายน 2561 ณ ประเทศมาเลเซีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเอกสารนโยบายด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558 และเอกสารกรอบการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียน ในปี พ.ศ. 2559 ไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งจำเป็นต้องจัดทำเครื่องมือทางกฎหมายในการกำกับดูแลความปลอดภัยอาหารของอาเซียนให้มีขอบเขตครอบคลุมการกำหนดหลักการ ข้อกำหนด กระบวนการ และกลไกการประสานงานของอาเซียนและของประเทศสมาชิก รวมถึงการพัฒนาพิธีสานของภูมิภาค
ทั้งนี้ กรอบการเจรจาฯ มีขอบเขตและสาระสำคัญ คือ (1) กำหนดมาตรฐานและกฎระเบียบสำหรับสินค้าเกษตรและอาหารให้มีความปลอดภัยในระดับสากล (2) กำหนดขอบข่ายและเงื่อนไขในการยอมรับผลการตรวจสอบรับรองและมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (3) พัฒนาพิธีสารของภูมิภาคสำหรับใช้ในการควบคุมและดำเนินงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยอาหารของอาเซียน (4) พัฒนากลไกการประสานงานของอาเซียนและของประเทศสมาชิกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียนและลดความแตกต่างระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และ (5) สนับสนุนการปฏิบัติตามความตกลงฯ เช่น การระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น ความโปร่งใส การเพิ่มบทบาทของอาเซียนและของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศ การมีผลใช้บังคับและการแก้ไขความตกลง รวมทั้งประเด็นอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
14. เรื่อง บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐคิวบาว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุขและการวิจัยทางการแพทย์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
1.เห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐคิวบาว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุขและการวิจัยทางการแพทย์
2.อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
3.มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐคิวบาว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุขและการวิจัยทางการแพทย์ เป็นการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขและแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างไทยกับสาธารณรัฐคิวบาในสาขาโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ การวิจัยทางการแพทย์ เภสัชวิทยา และเทคโนโลยีชีวภาพ นโยบายเกี่ยวกับเภสัชกรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ระบบสุขภาพและการสาธารณสุขมูลฐาน แพทยศาสตร์ศึกษา เทคโนโลยีชีวภาพ และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
15. เรื่อง ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในประเทศ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้อยู่ในดุลพินิจของคณะผู้แทนไทยโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร) ร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยการลงนาม
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมบทบาทของการขนส่งทางน้ำภายในประเทศเนื่องจากเป็นรูปแบบการขนส่งที่มีความปลอดภัยสูง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และมีประสิทธิภาพสูงจากมุมมองทางเศรษฐกิจ ทำให้มีความสมดุลในการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับการขนส่งรูปแบบอื่น
2. เพื่อพิจารณาประเด็นท้าทายที่เกี่ยวกับการเป็นรูปแบบการขนส่งที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
3. เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ กองเรือภายในประเทศ และท่าเรือภายในประเทศให้ทันสมัย โดยส่งเสริมเทคโนโลยีสมัยใหม่ นวัตกรรมและการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก
4. เพื่อส่งเสริมให้สาขาการขนส่งทางน้ำภายในประเทศมีความน่าสนใจ เป็นที่ต้องการของตลาดและผู้ทำงานด้านการขนส่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนให้บรรจุประเด็นเหล่านี้ไว้ในยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของประเทศและติดตามความก้าวหน้าต่อไปด้วย
แต่งตั้ง
16. เรื่อง ขอแจ้งเปลี่ยนแปลงโฆษกสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอการแต่งตั้งโฆษก สศช. และรองโฆษก สศช. ซึ่ง สศช. ได้มีการเปลี่ยนแปลงโฆษก สศช. จากเดิม นายประพันธ์ มุสิกพันธ์ เป็น นายดนุชา พิชยนันท์ และแต่งตั้ง นางสาวกัญญารักษ์ ศรีทองรุ่ง เป็นรองโฆษก สศช. เพื่อให้การดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ของ สศช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
17. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์)
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายอุดม คชินทร)
โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้วย และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2561 เป็นต้นไป
18. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายสนธยา คุณปลื้ม ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2561 เป็นต้นไป
19. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
20. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายสันติ กีระนันทน์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ราย นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง แทนตำแหน่งที่จะว่าง เนื่องจากนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 และกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งอนุญาตให้ นายสมชัย สัจจพงษ์ ลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง และไม่ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2561
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอโอนข้าราชการพลเรือนสามัญในสังกัดไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. โอน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง
2. โอน นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง
3. โอน นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
4. โอน นางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง และไม่ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2561
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการ (เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอรับโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนโดยได้ดำเนินการตามกฎหมายแล้ว ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขอรับโอนนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี
2. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ขอรับโอนนายปกรณ์ นิลประพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี