‘บิ๊กตู่’เปิดไฟเขียว
ประมูล‘เอราวัณ-บงกช’
เชิญเอกชน24เมษายน
‘ปตท.สผ.’พร้อมแจม
มั่นใจในประสบการณ์
ประยุทธ์ นั่งหัวโต๊ะประชุม กพช.ไฟเขียวเปิดประมูลเอราวัณ-บงกช ประกาศเชิญชวนเอกชน 24 เมษายนนี้ คาดสิ้นปีได้ตัวเอกชนรับสัมปทานใหม่ พร้อมรับทราบแผนการใช้ไฟฟ้า ปรับปรุงใหม่คาดเสร็จสิงหาคมนี้ ด้าน ปตท.สผ. พร้อมประมูลที่ทำเนียบรัฐบาล บ่ายวันที่ 23 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)โดยได้กล่าวระหว่างประชุมว่าวันนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ทันต่อสถานการณ์ และก็สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งวาระสำคัญในวันนี้ก็คือการประมูลสัมปทานใหม่ที่ต้องทำให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในสิ่งที่ยังเป็นปัญหาในปัจจุบัน ด้วยความไม่เข้าใจและมุมมองที่แตกต่างกัน สิ่งที่เราจะทำได้ คือต้องพิจารณาในทุกมิติ ว่าจะทำอย่างไร เพื่อเกิดความเป็นธรรมของผู้ประกอบการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ที่จะได้รับประโยชน์จัดการใช้พลังงานเหล่านี้ ซึ่งจะต้องทำให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในอนาคตด้วย เพราะเราจำเป็นต้องมีแหล่งพลังงานให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมใหม่ และอุตสาหกรรมเดิม รวมถึงการใช้พลังงานของชุมชนต่างๆ ซึ่งวันนี้จึงต้องจะมาหารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ต่อมาเวลา15.00น.นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงานแถลงว่า ที่ประชุม กพช.เห็นชอบให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเปิดประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่กำลังจะสิ้นอายุสัมปทาน ในปี 65-66 จำนวน 2 แหล่ง คือ แหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช โดยออกประกาศเชิญชวนเอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูลในวันที่ 24 เมษายนนี้ตามเอกสารการประกวดราคา(ทีโออาร์)การเปิดประมูลระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือพีเอสซี คาดว่าการประมูลครั้งนี้ จะดำเนินการได้เสร็จสิ้นจนได้ตัวเอกชนภายในเดือนธันวาคม 2561 จากนั้น จึงมีการลงนามในสัญญาสัมปทานต่อไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2562
ทั้งนี้ การประมูลดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขหลักในการประมูลไว้ คือ ผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตต้องผลิตก๊าซธรรมชาติปริมาณการผลิตขั้นต่ำ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา10 ปี ในแปลงสำรวจหมายเลข จี1/61 และต้องผลิตก๊าซธรรมชาติในปริมาณการผลิตขั้นต่ำ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี ในแปลงสำรวจ หมายเลข จี2/61 และผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องเสนอราคาก๊าซธรรมชาติที่ไม่สูงไปกว่าราคาเฉลี่ยของราคาก๊าซธรรมชาติ ในปัจจุบัน ตามสูตรราคาที่กำหนดในเงื่อนไขการประมูล
ขณะเดียวกัน ยังให้ผู้เข้าร่วมประมูลเสนอสัดส่วนการแบ่งกำไรให้แก่รัฐ ซึ่งจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50และเสนอผลประโยชน์พิเศษต่างๆเช่น โบนัสการลงนาม โบนัสการผลิตและผลประโยชน์พิเศษอื่นๆ พร้อมกันนี้ผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องเสนอสัดส่วนการจ้างพนักงานไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ในสิ้นปีที่ 1 และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ในสิ้นปีที่ 5 ของการดำเนินงาน ตั้งแต่พนักงานระดับบริหาร นักวิชาการ ช่วงและวิศวกรรม โดยให้ว่าจ้างพนักงานปัจจุบัน เป็นอันดับแรกซึ่งขณะนี้มีแรงงานที่ทำงานในแหล่งก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แหล่งกว่า 2,000 คน ในจำนวนนี้ยังไม่รวมแรงงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวที่มีมากกว่า 4-5 เท่า คิดเป็นจำนวนคนกว่า 10,000 คน
นายศิริ กล่าวว่า ตามแผนได้กำหนดระยะเวลาไว้ คือ หลังจากที่มีผู้สนใจมารับเอกสารการประมูลแล้ว ทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นและคัดเลือกเอกชนผู้ที่จะเข้ามาประมูลให้เสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้ จากนั้น จึงให้ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น ได้กลับไปจัดทำข้อเสนอให้เสร็จภายใน 4 เดือน ก่อนนำเอกสารมายื่นปลายเดือนกันยายน. จากนั้น จึงมีการพิจารณาข้อเสนอประมาณ 2 เดือนครึ่ง คาดว่าภายในเดือนธันวาคม 2561 จะคัดเลือกผู้ที่ได้รับสัมปทานเสร็จ และลงนามในสัญญาในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ต่อไป ตอนนี้ก็มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลแล้ว คาดว่า จะมีไม่ต่ำกว่า 3 ราย
ขณะเดียวกันในที่ประชุมยังรับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(พีดีพี) ฉบับใหม่ โดยปรับปรุงแผน พีดีพี 2015 เพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าในอนาคตและรองรับนโยบายของรัฐบาล ทั้งโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี โครงการรถไฟความเร็วสูง โดยมีหลักการสำคัญคือสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ด้านเศรษฐกิจ ที่ต้องคำนึงถึงต้นทุนไฟฟ้าที่เหมาะสม และด้านสิ่งแวดล้อม คาดว่า แผนดังกล่าวจะจัดทำเสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม 2561 นี้
“ตามแผนพีดีพีใหม่นี้ จะปรับปรุงให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปพลังงาน และในช่วง 5-6 ปีนี้ แม้ประเทศไทยจะไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมขึ้นมา แต่ก็มีกำลังการผลิตที่เพียงพอกับความต้องการได้ จึงอยากให้ประชาชนเชื่อมั่นและวางใจ ว่าประเทศไทยยังมีปริมาณไฟฟ้าเพียงพอ” นายศิริ กล่าว
ด้าน นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ได้รับทราบการดำเนินงานของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ในการเปิดประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชและเอราวัณ ว่า ปตท.สผ. ยินดีที่ภาครัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของความต่อเนื่องในการผลิตก๊าซจากทั้ง 2 แหล่งที่จะหมดอายุสัมปทาน เนื่องจากทั้ง 2 แหล่งมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศไทย โดยมีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติรวมกันคิดเป็น 60% ของปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติของประเทศ
ทั้งนี้ในฐานะที่ ปตท.สผ. ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นตัวแทนของรัฐในการดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และมีภารกิจหลักในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ปตท.สผ. จึงจะเข้าร่วมในการประมูลครั้งนี้อย่างแน่นอน โดยมั่นใจว่าประสบการณ์และความชำนาญในการสำรวจ พัฒนาและผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งบงกชซึ่ง ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการมาถึง 20 ปี ทำให้บริษัทมีความเข้าใจลักษณะทางธรณีวิทยาของแหล่งเป็นอย่างดี รวมถึงมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีต้นทุนที่แข่งขันได้ และหาก ปตท.สผ. ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการต่อ จะสามารถสร้างความต่อเนื่องในการผลิตก๊าซธรรมชาติให้กับประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีการหยุดชะงักในการผลิต รวมทั้งสามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับภาครัฐได้มากกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี