วันนี้ (24 เมษายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1.กำหนดเพิ่มเติมประเภททรัพย์สินของกองทุนโดยกำหนดให้กองทุนประกอบด้วยเงินของสมาชิกที่โอนย้ายมาทั้งจำนวนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพตามที่คณะกรรมการกำหนด
2. กำหนดเพิ่มเติมให้กองทุนมีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึงการจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำกัด
3. กำหนดเพิ่มเติมให้ในกรณีที่บุคคลใดซึ่งเข้ารับราชการได้แสดงเจตนาให้โอนเงินทั้งหมดที่ตน มีสิทธิได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพตามที่คณะกรรมการกำหนดมายังกองทุน ให้กองทุน รับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินรายบุคคลของสมาชิก เพื่อให้กองทุนนำไปลงทุนหาผลประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
4. กำหนดให้สมาชิกสามารถส่งเงินสะสมเข้ากองทุนได้ไม่เกินร้อยละสามสิบของเงินเดือน
5. กำหนดให้สมาชิกซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แต่สมาชิกภาพของสมาชิกยังไม่สิ้นสุด ให้มีสิทธิขอรับเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ตอบแทนเงินดังกล่าวตั้งแต่สิ้นปีงบประมาณที่ผู้นั้นมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
6. กำหนดให้ในกรณีที่สมาชิกซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลงและมีสิทธิได้รับเงินสะสม เงินสมทบเงินประเดิม เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนเงินดังกล่าว ยังไม่ขอรับเงินคืนหรือแสดงความประสงค์ขอทยอยรับเงินคืน หรือในกรณีที่ทายาทผู้มีสิทธิรับเงินยังไม่ได้ยื่นคำขอรับเงินดังกล่าว ให้กองทุนบริหารเงินที่ยังไม่รับเงินคืนต่อไปได้ ในกรณีเช่นว่านี้ให้ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวเว้นแต่ทายาท มีสิทธิเลือกแผนการลงทุนที่กองทุนจัดไว้ได้แต่ถ้าผู้นั้น ขอโอนเงินไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพ ให้กองทุนโอนเงิน ไปยังกองทุนดังกล่าวภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันที่ผู้นั้นแสดงความประสงค์และได้ปรากฏหลักฐานถูกต้องครบถ้วน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
7. กำหนดให้เงินของกองทุนที่อยู่ในบัญชีเงินสำรองและบัญชีเงินกองกลางให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้กองทุนจัดให้มีแผนการลงทุนสำหรับเงินที่อยู่ในบัญชีเงินรายบุคคลเพื่อให้สมาชิกเลือกโดยอย่างน้อยต้องจัดให้มีแผนการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ำกว่า ร้อยละหกสิบด้วย ในกรณีที่สมาชิกไมได้ใช้สิทธิเลือกแผนการลงทุนให้ถือว่าสมาชิกยินยอมให้กองทุนจัดแผน การลงทุนที่กำหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับช่วงอายุของสมาชิก
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
กษ. เสนอว่า
1. สัตวแพทยสภาเป็นองค์กรวิชาชีพที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพ การสัตวแพทย์ พ.ศ. 2545 โดยมีฐานะเป็นนิติบุคคลและมีวัตถุประสงค์ในการควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์มีอำนาจหน้าที่รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบการวิชาชีพการสัตวแพทย์ การทำคำสั่งลงโทษกรณีประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ การรับรองปริญญา อนุปริญญา ประกาศนียบัตร อนุมัติบัตร หรือวุฒิบัตรในวิชาชีพการสัตวแพทย์ซึ่งเป็นการใช้อำนาจรัฐในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
2. โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐหมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งขณะนี้มีหน่วยงานอื่นของรัฐที่ถูกกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จำนวน 58 แห่ง โดยมีองค์กรวิชาชีพ จำนวน 9 แห่ง ได้รับการกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เช่น แพทยสภา สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา และสภาการพยาบาล เป็นต้น แต่สัตวแพทยสภาซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลและใช้อำนาจรัฐตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. 2545 ยังไม่ได้ถูกกำหนดเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้สัตวแพทยสภาและบุคลากรของสัตวแพทยสภาซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายสมควรกำหนดให้สัตวแพทยสภาเป็นหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้สัตวแพทยสภาเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดการศึกษา การฝึกอบรมหรือการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบโรคศิลปะหรือการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดการศึกษา การฝึกอบรมหรือการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบโรคศิลปะหรือการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้สถานพยาบาลที่จะดำเนินการจัดให้มีการศึกษา การฝึกอบรมหรือการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งการดำเนินการนั้นมีความเกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อผู้ป่วย จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยก่อน และต้องชี้แจงขั้นตอนปฏิบัติหรือผลที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการนั้น ให้ผู้ป่วยทราบก่อนให้ความยินยอม
2. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตของสถานพยาบาลที่มีความประสงค์จะจัดให้มีการศึกษา หรือการฝึกอบรมแจ้งความจำนงในการดำเนินการต่อผู้อนุญาต แบบการแจ้งความจำนงและแบบการยื่นเอกสารที่เกี่ยวกับหลักสูตรให้เป็นไปตามที่ผู้อนุญาตประกาศกำหนด
3. กำหนดวิธีการในการพิจารณาการจัดการศึกษา หรือการฝึกอบรม ดังนี้
3.1 ในกรณีที่มีโครงการหรือหลักสูตร เมื่อสภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการให้ความเห็นแล้ว ให้ผู้รับอนุญาตของสถานพยาบาลยื่นคำขอและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับหลักสูตรที่จะดำเนินการ เพื่อขอความเห็นชอบต่อผู้อนุญาต ตามแบบที่ผู้อนุญาตประกาศกำหนด
3.2 ในกรณีที่ไม่มีโครงการหรือหลักสูตร ให้ผู้รับอนุญาตของสถานพยาบาลที่มีความประสงค์จะจัดให้มีการฝึกอบรมดังกล่าว ยื่นคำขอและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับสถานที่ เครื่องมือ เครื่องใช้ บุคลากร คุณสมบัติของผู้ฝึกอบรมและผู้เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อขอความเห็นชอบต่อผู้อนุญาต ตามแบบที่ผู้อนุญาตประกาศกำหนด
4. กำหนดให้สถานพยาบาลที่มีความประสงค์จะจัดให้มีการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขให้ผู้รับอนุญาตและดำเนินการของสถานพยาบาลยื่นคำขอและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อขอความเห็นชอบต่อผู้อนุญาต ตามแบบที่ผู้อนุญาตประกาศกำหนด
5. กำหนดเงื่อนไขให้ยกเลิกหรือเพิกถอนการให้ความเห็นชอบในการจัดการศึกษาหรือการฝึกอบรมของสถานพยาบาลนั้นได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
5.1 การจัดการศึกษา หรือการฝึกอบรม ทั้งในกรณีที่มีและไม่มีโครงการ หรือหลักสูตรหากมีหลักฐานเชื่อได้ว่าการจัดการศึกษา หรือการฝึกอบรมมีความแตกต่างไปจากข้อมูลที่เสนอขออนุญาต ทำให้ไม่ได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่สภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการวิชาชีพหรือคณะกรรมการสถานพยาบาลกำหนด
5.2 การวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข หากผู้ได้รับอนุญาตไม่ปฏิบัติตามแนวทางจริยธรรมของการศึกษาวิจัย และการทดลองในมนุษย์ และจรรยาบรรณของนักวิจัย หรือการวิจัยนั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
เศรษฐกิจ- สังคม
4. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินการโครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่างจังหวัดหนองคาย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ กษ. ดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง จังหวัดหนองคาย กำหนด แผนการดำเนินงาน 9 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 – 2569) ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 21,000 ล้านบาท และให้กรมชลประทานเริ่มดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
2. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนการป้องกันแก้ไขและพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่กษ. (กรมชลประทาน) เสนออย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ให้ กษ. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในเขตพื้นที่จังหวัดหนองคายและอุดรธานี ครอบคลุมพื้นที่ 54,390 ไร่ รวมทั้งเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในลำน้ำห้วยหลวงและแก้มลิงต่างๆ 245.87 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อส่งน้ำสำหรับการอุปโภค บริโภค การเกษตร การอุตสาหกรรม การปศุสัตว์ และการรักษาระบบนิเวศในเขตพื้นที่จังหวัดหนองคาย และอุดรธานี ตลอดจนเพื่อส่งน้ำให้กับพื้นที่ 284 หมู่บ้าน 37 ตำบล 7 อำเภอ ในเขตจังหวัดหนองคายและอุดรธานี (อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย และอำเภอเมือง อำเภอหนองหาน อำเภอเพ็ญ อำเภอบ้านดุง และอำเภอสร้างคอม อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี) ครอบคลุมพื้นที่ 315,195 ไร่
5. เรื่อง โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ระยะที่ 2
คณะรัฐมนตรีพิจารณาโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ระยะที่ 2 วงเงินลงทุน 6,565 ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 1,642 ล้านบาท และเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 4,923 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนโครงการดังกล่าว โดยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้เงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นอันดับแรกก่อนการกู้เงิน ทั้งนี้ เมื่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ในประเทศเพื่อดำเนินโครงการ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียด ตามความเหมาะสมและจำเป็น ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
2. ในกรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่ซึ่งบางส่วนอาจจะเป็นที่ดินของรัฐหรือเป็นพื้นที่ที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นที่อุทยานแห่งชาติ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ป่าชายเลน พื้นที่ป่าไม้ถาวร เป็นต้น ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้คำนึงถึงความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ในแต่ละพื้นที่ด้วย
3. ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเร่งรัดดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้บ้านเรือนราษฎรมีไฟฟ้าใช้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และให้นำปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ 1 มาปรับแก้ไขเพื่อใช้ในการวางแผนการดำเนินโครงการ ระยะที่ 2 เพื่อให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาและวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้
4. ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาครับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ (ระยะที่ 1) มีเป้าหมายขยายเขตไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 131,629 ครัวเรือน ในพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. (74 จังหวัด) ทั่วประเทศ ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2556 – 2560 มีผลความคืบหน้าทั้งโครงการสามารถขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้าให้ครัวเรือนได้ 127,734 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 97.04 ปัจจุบันโครงการดำเนินการใกล้แล้วเสร็จ (คาดว่าแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2561)
2. เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียมกันและต่อเนื่อง และเนื่องจากมีครัวเรือนใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี กฟภ. จึงได้จัดทำโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ระยะที่ 2 บรรจุไว้ในแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) พร้อมทั้งได้จัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ระยะที่ 2 ซึ่งคณะกรรมการ กฟภ. ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2559 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2559 ได้ให้ความเห็นชอบโครงการ ระยะที่ 2 แล้ว
6. เรื่อง โครงการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูงสำหรับอุตสาหกรรม NEW Growth Engine ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย (ปี 2561 - 2565)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สำหรับอุตสาหกรรม NEW Growth Engine ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย (อาชีวะพันธุ์ใหม่ปี 2561 – 2565 และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ปี 2561 – 2569) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ทั้งนี้ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
ศธ. รายงานว่า
1. ศธ. มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการตามนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งจะต้องผลิตผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสถานประกอบการในจำนวนที่เพียงพอ โดยให้ภาคอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการมาร่วมจัดการเรียนการสอนและร่วมประเมินผลสำเร็จทางการศึกษาของนักศึกษา เพื่อให้ตรงตามความต้องการและสามารถรับเข้าทำงานได้ทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษา โดยเฉพาะอาชีพกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (First S curve) และอุตสาหกรรมอนาคต (New S Curve) ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ New Growth Engine เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต รวมทั้งเพื่อเป็นการประกันคุณภาพหลักสูตรให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง
2. ศธ. ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเสนอนโยบายด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนระดับอาชีวศึกษาผลิตช่างเทคนิคสาขาวิชาต่าง ๆ ให้กับประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการผลิตและพัฒนากำลังคนระดับสูงให้กับประเทศ ร่วมกันจัดทำโครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษาไทย เพื่อส่งเสริมให้วิทยาลัย/สถานศึกษาในสังกัด สอศ. และสถาบันอุดมศึกษาผลิตบุคลากร โดยมีขอบเขตของเนื้อหาหลักสูตรและกระบวนการจัดการเรียนการสอนให้ตรงกับอุปสงค์ของตลาดแรงงาน ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรมโดยการจัดการศึกษาในรูปแบบทวิภาคีหรือสหกิจศึกษาที่ใช้สถานการณ์จริงจากสถานประกอบการและชุมชน มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะฝีมือควบคู่กับการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้มีสมรรถนะที่เป็นไปตามความต้องการของสถานประกอบการ รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน เร่งรัดการพัฒนาอาจารย์ เพื่อผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยีรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยจัดทำเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับอาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษา ดังนี้
1) โครงการระดับอาชีวศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวะพันธุ์ใหม่ที่เป็นช่างเทคนิค/นักเทคโนโลยีที่มีความชำนาญขั้นสูงตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยในการดำเนินการ ผู้เชี่ยวชาญจากสถานประกอบการและอาจารย์มหาวิทยาลัยจะเข้ามาร่วมจัดการเรียนการสอนในสถานที่ทำงาน (Work Integrated Learning) อย่างเข้มข้น มีความร่วมมือกับสถานประกอบการในประเทศที่ต้องการแรงงานที่มีฝีมือตรงกับความต้องการ และความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในต่างประเทศในการจัดการเรียนการสอนด้วยหลักสูตรให้ได้มาตรฐานสากล มีการติดตาม ควบคุมคุณภาพการสอนตามแนวทาง Work Integrated Learning โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นอกจากนี้ จะมีการอบรมครูของมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษาอย่างเข้มข้นเพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนและประเมินผลนักศึกษาได้ อันจะเป็นการลดปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนที่มีคุณภาพสูงในอาชีวศึกษา
2) โครงการระดับอุดมศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะและศักยภาพสูง สำหรับการทำงานในอุตสาหกรรมใหม่สู่อุตสาหกรรมอนาคต (New S Curve) และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (New Growth Engines) ของประเทศ โดยมีแนวทางการดำเนินงานที่หลากหลาย เช่น การปรับเปลี่ยนและ/หรือเพิ่มสมรรถนะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ตอบโจทย์เฉพาะของสถานประกอบการและการพัฒนาส่วนบุคคลตามอัธยาศัย โดยมีการให้ใบรับรอง (Certificate) ที่เน้นรับผู้เข้าศึกษาเป็นบุคคลที่ทำงานแล้ว การบูรณาการทักษะชีวิตของสังคมดิจิทัลกับความรู้หลักในศาสตร์สาขาวิชาชีพ โดยการพัฒนาการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป และการบูรณาการการเรียนการสอนข้ามศาสตร์สาชาวิชาชีพให้แก่นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา
7. เรื่อง มาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ กษ. และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
2. อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร วงเงินสินเชื่อ 90,000 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. วงเงินชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 1,800 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
3. อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร วงเงินสินเชื่อ 3,600 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. วงเงินชดเชยดอกเบี้ย ไม่เกิน 72 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. สถานการณ์ภาคการเกษตรของประเทศไทยประสบปัญหาผลผลิตต่อไร่ต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลผลิตตกต่ำในบางช่วง และเกษตรกรขาดอำนาจในการต่อรองราคาซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสะสมมาเป็นเวลานาน อีกทั้ง สถานการณ์ด้านธรรมชาติก่อให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ทำให้เกษตรกรประสบปัญหาด้านความเสี่ยงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกร ประกอบกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนให้ประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง และเน้นให้เกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยก้าวพ้นความยากจน ชุมชนอยู่ดีมีสุขด้วยการพัฒนาความเป็นอยู่ อาชีพ และรายได้ให้แก่ครัวเรือนเกษตรกร
2. เพื่อเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลในการช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร กษ. จึงร่วมกับ ธ.ก.ส. จัดทำมาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรผ่าน 2 โครงการย่อย ได้แก่ (1) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร และ (2) โครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกรโดยมีรายละเอียดโครงการ สรุปได้ดังนี้
1. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิต ทำให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น2) เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพมาตรฐานในราคาที่เป็นธรรม และ 3) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสังคมไร้เงินสดของภาครัฐ
ระยะเวลาดำเนินการ
- ระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563
- ระยะเวลาในการจ่ายเงินกู้ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2562
2. โครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร มีวัตถุประสงค์
1) เพื่อสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรขยายธุรกิจในการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัด 2) เพื่อให้เกษตรกรและสมาชิกของสถาบันเกษตรกรใช้ปุ๋ยสั่งตัดที่มีคุณภาพตรงกับสภาพของดิน และราคาที่เป็นธรรม รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและสมาชิก และ 3) เพื่อสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้สถาบันเกษตรกรในการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดเพื่อจำหน่ายแก่สมาชิกของสถาบันเกษตรกรและเกษตรกรทั่วไป
ระยะเวลาดำเนินการ
- ระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563
- ระยะเวลาในการจ่ายเงินกู้ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2562
ต่างประเทศ
8. เรื่อง การเข้าร่วมเป็นสมาชิก The United Nations Collaborative Programme on Reducing Emissions From Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries (UN-REDD Programme) ของประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก The United Nations Collaborative Programme on Reducing Emissions From Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries (UN-REDD Programme)
2. เห็นชอบให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นหน่วยงานดำเนินงาน UN-REDD Programme
3. เห็นชอบให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในเอกสารแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการอย่างเป็นทางการ
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า
กรมป่าไม้ ได้รับแจ้งเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิก UN-REDD Programme จากการเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาค “Regional Workshop on Harnessing Climate Change Financing for Sustainable Forest Management (SFM) in Southeast Asia” ระหว่างวันที่ 23 – 25 มีนาคม 2558 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร และเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานด้านป่าไม้ ในภาพรวมของประเทศ กรมป่าไม้จึงได้หารือกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการป่าไม้ ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ มีมติร่วมกันว่า ประเทศไทยควรเข้าร่วมโครงการ UN-REDD Programme เพราะเป็นประโยชน์ในการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับกรอบงาน REDD+ ที่นานาประเทศดำเนินการ และที่ประชุมให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นผู้ดำเนินการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกฯ นอกจากนี้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงานภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอากาศ มีความเห็นด้วยว่าการลงนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกฯ จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
ทั้งนี้ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกฯ จะไม่เสียค่าสมาชิกใดๆ และไม่มีข้อผูกพันซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยในหลายมิติ/ระดับ ได้แก่ ระดับหน่วยงาน ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค
9. เรื่อง การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และอนุสัญญาร่วมว่าด้วยความปลอดภัยของการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วและความปลอดภัยของการจัดการกากกัมมันตรังสี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการภาคยานุวัติอนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และอนุสัญญาร่วมว่าด้วยความปลอดภัยของการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วและความปลอดภัยของการจัดการกากกัมมันตรังสี
2. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการภาคยานุวัติอนุสัญญาฯ
3. มอบหมายให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) เป็นหน่วยประสานงานหลักระดับชาติในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ภายหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาแล้ว
4. อนุมัติในหลักการสำหรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ให้แก่ ปส. และหน่วยงานราชการไทยที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของเรื่อง
วท. โดย ปส. รายงานว่า การเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาฯ แสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทย ในการใช้ประโยชน์จากการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติและแสดงถึงจุดยืนของประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินการทุกวิถีทางของประชาคมโลกในการเสริมสร้างความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการแสดงตนเป็นประเทศสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรดำเนินการเพื่อภาคยานุวัติต่ออนุสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวโดยเร็วในโอกาสแรกที่ดำเนินการได้ ทั้งนี้ ปส. ได้ผลักดันให้มีพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 (มีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560) ซึ่งสามารถรองรับพันธกรณีตามอนุสัญญาดังกล่าวได้ สรุปสาระสำคัญของอนุสัญญาทั้งสองฉบับได้ ดังนี้
1. อนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ อนุสัญญา ฉบับนี้ได้กำหนดพันธกรณีรัฐภาคีอนุสัญญา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บรรลุและคงไว้ซึ่งความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ระดับสูงทั่วโลกโดยยกระดับมาตรการระดับชาติ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และความร่วมมือทางเทคนิคที่เหมาะสมในเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัย ตลอดจนเพื่อสร้างและคงไว้ซึ่งการป้องกันอันตรายจากรังสีที่อาจเกิดขึ้นในสถานประกอบการทางนิวเคลียร์อย่างมีประสิทธิภาพ
2. อนุสัญญาร่วมว่าด้วยความปลอดภัยของการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วและความปลอดภัยของการจัดการกากกัมมันตรังสี อนุสัญญาฉบับนี้ได้กำหนดพันธกรณีสำหรับรัฐภาคีอนุสัญญามีวัตถุประสงค์เพื่อให้บรรลุและคงไว้ซึ่งความปลอดภัยระดับสูงทั่วโลกในการจัดการเชื้อเพลิงใช้แล้วและกากกัมมันตรังสี โดยยกระดับมาตรการระดับชาติ ความร่วมมือระหว่างประเทศและความร่วมมือที่เหมาะสมทางเทคนิคในเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัย รวมทั้งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่มีผลกระทบจากรังสีและเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าวหากเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนใด ๆ ของการจัดการเชื้อเพลิงใช้แล้วหรือกากกัมมันตรังสี
10. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 11 แผนงานการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย–มาเลเซีย–ไทย (IMT–GT)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 11 แผนงานการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย–มาเลเซีย–ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth : IMT–GT) และให้ สศช. สามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก
2. เห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับผู้นำประเทศแผนงาน IMT–GT ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 11 แผนงาน IMT–GT ในวันที่ 28 เมษายน 2561 (การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 28 เมษายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์)
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญที่เป็นการรับทราบและแสดงความชื่นชมกับความสำเร็จ ที่ผ่านมาของโครงการความร่วมมือภายใต้แผนงาน IMT–GT เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาแผนปฏิบัติการเมืองสีเขียว และการพัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT–GT โดยเห็นได้จากอัตราการเติบโตของกลุ่มประเทศ IMT–GT และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อประชากร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอาเซียน รวมถึงสภาวะความยากจนและอัตราการว่างงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในร่างแถลงการณ์ ร่วมฯ ได้ระบุถึงกรอบทิศทางการขับเคลื่อนแผนงานระหว่างประเทศสมาชิกที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน ในเรื่องต่างๆ ในระยะต่อไป เช่น การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจที่หก การพัฒนาเมืองสีเขียว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และทักษะแรงงาน การส่งเสริมความร่วมมือทางภาคเกษตรให้เกิดความยั่งยืน การเร่งดำเนินการด้านความร่วมมือทางศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจโรคพืชและสัตว์ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดห่วงโซ่ มูลค่าในอนุภูมิภาคที่มุ่งเน้นการ บูรณาการในอุตสาหกรรมยางพารา การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย รวมถึงส่งเสริมการจัดมหกรรมสินค้า IMT–GT และ BIMP EAGA ครั้งที่ 4 ที่จะจัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา ในเดือนกรกฎาคม 2561
11. เรื่อง การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปี 2562 เป็นวาระแห่งชาติ โดยให้หน่วยราชการ องค์กรต่าง ๆ และทุกภาคส่วน ร่วมให้การสนับสนุนการจัดการประชุมและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อริเริ่มอาเซียนต่าง ๆ ของไทยในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ เกิดผลที่เป็นรูปธรรม และส่งเสริมสถานะและบทบาทของไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ และเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน ในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนไทยได้ตระหนักถึงโอกาสและความท้าทาย สามารถเตรียมพร้อม ที่จะปรับตัวเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากความร่วมมือของอาเซียนอย่างเต็มที่ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 รัฐสมาชิกอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งได้กำหนดให้รัฐสมาชิกหมุนเวียนกันดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนทุกปี ตามลำดับอักษรของชื่อภาษาอังกฤษของรัฐสมาชิก โดยไทยจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม 2562 โดยที่กฎบัตรอาเซียนกำหนดให้รัฐสมาชิกที่ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนต้องปฏิบัติ ดังนี้
1.1 ส่งเสริมและเพิ่มพูนผลประโยชน์ และความเป็นอยู่ที่ดีของอาเซียนอย่างแข็งขัน รวมถึงความพยายามในการสร้างประชาคมอาเซียน โดยการริเริ่มทางนโยบายการประสานงานฉันทามติ และความร่วมมือ
1.2 ทำให้แน่ใจถึงความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality)
1.3 ทำให้แน่ใจถึงการตอบสนองต่อประเด็นเร่งด่วนหรือสถานการณ์วิกฤตที่มีผลกระทบต่ออาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที รวมถึงเป็นคนกลางที่น่าเชื่อถือและจัดการให้มีการจัดการอื่น เพื่อสนองตอบข้อกังวลเหล่านี้โดยทันที
1.4 เป็นผู้แทนของอาเซียนในการเสริมสร้างและส่งเสริมความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนภายนอกภูมิภาคให้ใกล้ชิดขึ้น
1.5 ปฏิบัติภารกิจและหน้าที่อื่นที่อาจได้รับมอบหมาย
2. ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนครั้งล่าสุดระหว่างเดือนกรกฎาคม 2551 ถึงเดือนธันวาคม 2552 โดยได้จัดการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ (1) การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 และการประชุมสุดยอดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (2) การประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (3) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 42 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับรัฐมนตรีต่างประเทศของคู่เจรจาของอาเซียน และ (4) การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
3. ในปี 2562 ที่ไทยจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ไทยจะต้องเป็นเจ้าภาพและประธานการประชุมที่สำคัญตามที่กำหนดในกฎบัตรอาเซียน และตามแนวปฏิบัติที่อาเซียนได้ตกลงกันไว้แล้ว ซึ่ง กต. ร่วมกับ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนงานการจัดการประชุมที่สำคัญในปี 2562 ไว้แล้ว โดยมีการประชุมตั้งแต่ระดับผู้นำถึงระดับคณะทำงานต่างๆ รวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 100 การประชุม
4. การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยในครั้งนี้มีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อเตรียมการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านสารัตถะ คณะอนุกรรมการด้านพิธีการและอำนวยการ คณะอนุกรรมการด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจรและคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน
12. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบต่อเอกสาร จำนวน 3 ฉบับ ดังนี้
1.1 ร่างเอกสารวิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียนเพื่ออาเซียนที่มีความเข้มแข็งและนวัตกรรม (ASEAN Leaders’s Vision for a Resilient and Innovative ASEAN)
1.2 ร่างถ้อยแถลงผู้นำอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ (ASEAN Leaders’s Statement on Cybersecurity Cooperation)
1.3 ร่างเอกสารแนวคิดเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (Concept Note on ASEAN Smart Cities Network)
โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กต. หรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และหลักจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ความเห็นชอบต่อร่างเอกสารข้อ 1.1 – 1.3 ในที่ประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน เพื่อเสนอให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 รับรองต่อไป
3. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับรองเอกสารตามข้อ 1.1 – 1.3 ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32
(การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 -28 เมษายน 2561)
สาระสำคัญของร่างเอกสารทั้ง 3 ฉบับ มีดังนี้
1. ร่างเอกสารวิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียนเพื่ออาเซียนที่มีความเข้มแข็งและนวัตกรรม (ASEAN Leaders’s Vision for a Resilient and Innovative ASEAN) เป็นเอกสารที่สิงคโปร์ในฐานะประธานอาเซียน ปีนี้ต้องการให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและมีนวัตกรรม โดยระบุประเด็นสำคัญภายใต้ 3 เสาของประชาคมอาเซียนที่ประเทศสมาชิกอาเซียนเห็นควรมีการดำเนินการและ/หรือผลักดัน เป็นลำดับต้น ๆ ได้แก่ 1) ประชาคมการเมืองและความมั่งคงอาเซียน 2) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 3) ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมไทย
2. ร่างถ้อยแถลงผู้นำอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ (ASEAN Leaders’s Statement on Cybersecurity Cooperation) เป็นเอกสารที่มุ่งสนับสนุนการดำเนินมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและรับรองบรรทัดฐานร่วมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจและไม่ผูกพัน เพื่อให้รัฐมีพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบในพื้นที่ไซเบอร์
3. ร่างเอกสารแนวคิดเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEANSmart Cities Network ConceptPaper) เครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกความร่วมมือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอาเซียน โดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน พร้อมทั้งเรียนรู้และสรรหาเงินทุนจากภาคีภายนอกอาเซียน และสร้างเวทีในการผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศ และของประชาคมอาเซียนในภาพรวม โดยการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและยั่งยืนจะเป็นไปตามบริบทท้องถิ่นและนวัตกรรมที่แตกต่างกันของแต่ละเมือง และไม่ทับซ้อนกับแผนปฏิบัติการหรือแผนการดำเนินงานของประเทศหรือเมืองที่มีอยู่แล้ว
แต่งตั้ง
13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย จำนวน 12 ราย ดังนี้
1. ให้นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูงสำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานปลัดกระทรวง
2. ให้นายปวิณ ชำนิประศาสน์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
3. ให้นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเชียงราย สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดพะเยา สำนักงานปลัดกระทรวง
4. ให้นายประจญ ปรัชญ์สกุล พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดพะเยา สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเชียงราย สำนักงานปลัดกระทรวง
5. ให้นายณรงค์ พลละเอียด พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดชุมพร สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
6.ให้นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดบึงกาฬ สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
7. ให้นายวิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดชุมพร สำนักงานปลัดกระทรวง
8. ให้นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดบึงกาฬ สำนักงานปลัดกระทรวง
9. ให้นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดปราจีนบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ สำนักงานปลัดกระทรวง
10. ให้นายพิบูลย์ หัตถกิจโกศล พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดปราจีนบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง
11. ให้นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวง
12. ให้นายสิริรัฐ ชุมอุปการ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
14. เรื่อง การพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ จำนวน 7 คน ดังนี้
1.นายภูมิ ภูมิรัตน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษา
2.นายกิตติ โฆษะวิสุทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3.นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนิติศาสตร์
4.พันตำรวจเอก ญาณพล ยั่งยืน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการป้องกันและ ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
5.พลเอก บรรเจิด เทียนทองดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านโทรคมนาคม
6.นางมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศ
7.รองศาสตราจารย์ปณิธาน วัฒนายากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2561 เป็นต้นไป
15. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัยชุดใหม่ แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 รวม 8 คน ดังนี้
1.นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการ
2.ศาสตราจารย์กมล เลิศรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3.ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4.ศาสตราจารย์วันชัย ดีเอกนามกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5.นายชิต เหล่าวัฒนา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6.ศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7.ศาสตราจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
8.นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
16. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (เพิ่มเติม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง กรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 2 คน ดังนี้
1.นายธัญญา เนติธรรมกุล ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.นางสาวนงพงา บุญเปี่ยม ผู้แทนกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่24 เมษายน 2561 เป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. เรือโท โกเมศ กมลนาวิน เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
2. นางสาวอาจารี ศรีรัตนบัลล์ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (รองเลขาธิการ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอรับโอน พลตำรวจตรี ปรีชา เจริญสหายานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
19. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าการ กฟผ.) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป
20. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เสนอแต่งตั้ง นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (กพท.) แทน นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ที่ลาออก โดยให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งตนแทน ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2561 เป็นต้นไป
21. เรื่อง การเปิดสถานกงกุสกิตติมศักดิ์สหรัฐเม็กซิโก ณ จังหวัดภูเก็ต และการแต่งตั้ง นางณัฏฐกัญญา แสงโพธิ์ ให้ดำรงตำแหน่ง กงสุลกิตติมศักดิ์สหรัฐเม็กซิโก ณ จังหวัดภูเก็ต (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรณีรัฐบาลสหรัฐเม็กซิโกเสนอขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สหรัฐเม็กซิโก ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และพังงา และแต่งตั้ง นางณัฏฐกัญญา แสงโพธิ์ ให้ดำรงตำแหน่ง กงสุลกิตติมศักดิ์สหรัฐเม็กซิโก ณ จังหวัดภูเก็ต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
22. เรื่อง การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรณีรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเตเสนอขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร เพชรบุรี ระนอง และสุราษฎร์ธานี และแต่งตั้ง นางสาววินิตา จามิกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่ง กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามที่กระทรวง การต่างประเทศเสนอ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี