เย็นวันที่ 24 เมษายน ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 7/2561 เรื่อง การยกเลิกและระงับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคล เพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีรายละเอียดังนี้
ตามที่ได้มีการตราพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างและอํานาจหน้าที่ ตลอดจนกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม รวมทั้งวิธีการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งดังกล่าว แต่โดยที่ปรากฏว่าได้เกิดสภาพปัญหาในทางปฏิบัติเป็นอย่างมาก ทําให้การสรรหาและคัดเลือกบุคคลไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้ผู้ได้รับการสรรหา และคัดเลือกเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบกับปรากฏข้อร้องเรียนเป็นจํานวนมากเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ผ่านการสรรหา เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งดังกล่าว จึงเป็นการสมควรที่จะต้องระงับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกไว้ก่อน เพื่อให้มีการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบและเหมาะสม เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลที่มีคุณสมบัติและมีความสามารถที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์แก่การปฏิรูปการกํากับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งได้ดําเนินการอยู่ในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ และให้ระงับการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติไว้ก่อน จนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
ข้อ 2 ให้กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ ยังคงดํารงตําแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ตามที่จําเป็นไปพลางก่อนต่อไป ตามที่กําหนดในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ในระหว่างนี้หากกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติพ้นจากตําแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่ ทั้งนี้ จนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
ข้อ 3 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้ผู้ได้รับการสรรหา และคัดเลือกเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ และดําเนินการให้มีการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งดังกล่าวโดยเร็วต่อไป
ข้อ 4 ในกรณีที่เห็นสมควรนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้
ข้อ 5 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ 24 เมษายน พุทธศักราช 2561
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี