วันนี้ (8 พฤษภาคม 2561) เวลา 10.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็น ประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า
1. โดยที่ กอช. จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 เริ่มเปิดรับสมัครสมาชิกมาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ กอช. ยังไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ ประกอบกับ กอช. ยังไม่เป็นหน่วยงานของรัฐตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นผลทำให้เมื่อเจ้าหน้าที่ของ กอช. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตแล้วเกิดความเสียหายแก่เอกชน จะต้องรับผิดทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เจ้าหน้าที่จะต้องรับผิดในการกระทำต่าง ๆ เป็นการเฉพาะตัว เมื่อหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเพียงใด ก็จะมีการฟ้องไล่เบี้ยเอาจากเจ้าหน้าที่เต็มจำนวน ดังนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ กอช. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ จึงจำเป็นต้องกำหนดให้ กอช. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ และได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เสนอคณะกรรมการ กอช. พิจารณา
2. ในคราวประชุมคณะกรรมการ กอช. ครั้งที่ 11/2560 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดให้ กอช. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ ตามที่ กอช. เสนอ และให้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้กองทุนการออมแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดคำว่านิยาม "วิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล" และ "เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน" เพิ่มเติม โดย “วิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล” หมายความว่า วิสาหกิจชุมชนที่ขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้ และ “เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน” หมายความว่า คณะบุคคลที่รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์ ในการทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนในเครือข่าย
2. กำหนดให้วิสาหกิจชุมชนใดที่ประสงค์จะจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้ จะต้องมีผลประกอบการในลักษณะวิสาหกิจชุมชนมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล โดยต้องมีรายการเพิ่มเติ่ม ได้แก่ รายงานการประชุมของคณะบุคคล ที่มีมติให้ดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ข้อบังคับของวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล แผนพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน และรายงานงบแสดงฐานะการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือบุคคลที่คณะกรรมการกำหนด ได้ตรวจสอบรับรองแล้ว
3. กำหนดให้เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่มีความประสงค์ เป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล ให้ยื่นจดทะเบียนต่อกรมส่งเสริมการเกษตร และให้เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคลที่จดทะเบียนต่อกรมส่งเสริมการเกษตรและมีสิทธิขอรับการส่งเสริมตามพระราชบัญญัติ
4. กำหนดให้การบริหารจัดการเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคลเป็นไปตามข้อบังคับของเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน และข้อบังคับของเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล
5. กำหนดให้เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน โดยเพิ่มรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อย และผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เป็นกรรมการและเพิ่มเติมกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาชุมชน ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และด้านแรงงาน และสวัสดิการสังคม
6. กำหนดให้ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนโดยนำอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการประสานนโยบายกองทุนเพื่อพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชนที่ถูกยกเลิกไป มาเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ได้แก่ อำนาจในการประสานการดำเนินการของกองทุนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถสนับสนุนกิจการวิสาหกิจชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการซ้ำซ้อนที่ไม่เกิดประโยชน์ และส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน อำนาจในการติดตามการดำเนินงานของกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกิจการวิสาหกิจชุมชน และอำนาจในการเสนอแนะต่อกองทุนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานหรือการแก้ไขปัญหาเงินทุนในการสนับสนุนกิจการวิสาหกิจชุมชน
7. กำหนดให้เพิ่มผู้แทนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและผู้แทนสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนกรุงเทพมหานคร
8. กำหนดให้ยกเลิกคณะกรรมการประสานนโยบายกองทุนเพื่อพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน
9. กำหนดเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน โดยกำหนดให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กองทุนหมู่บ้าน และกองทุนชุมชนเมืองต้องจัดให้มีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนด้านเงินทุนแก่กิจการวิสาหกิจชุมชน และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดให้มีมาตรการ แผน โครงการ และงบประมาณเพื่อสนับสนุนกิจการวิสาหกิจชุมชน
10. เพิ่มบทกำหนดโทษทางปกครองแก่ผู้นำคำว่า "วิสาหกิจชุมชน" "วิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล" "เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน" หรือ "เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล" ไปใช้โดยไม่ได้จดทะเบียนต้องถูกปรับตั้งแต่วันละหนึ่งพันบาท จนกว่าจะเลิกใช้หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ต่างประเทศ
3. เรื่อง การรับรองเอกสารร่างกรอบความร่วมมือและปฏิญญาว่าด้วยกรอบความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบจากข่าวลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาว่าด้วยกรอบความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบจากข่าวลวง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 รับรองร่างปฏิญญาว่าด้วยกรอบความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบจากข่าวลวง
3. หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างปฏิญญาที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อนจะมีการรับรองและเห็นชอบเอกสารดังกล่าวให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาว่าด้วยกรอบความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบจากข่าวลวง (Declaration on the Framework to Minimize the Harmful Effects of Fake News) เป็นการรับรองกรอบความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบจากข่าวลวงที่ได้รับการให้ความเห็นชอบร่วมกันในที่ประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 โดยจะมีการดำเนินการในลักษณะต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบจากข่าวลวง ได้แก่ (1) เสริมสร้างความเข้มแข็งความร่วมมือด้านสื่อและสารสนเทศและสนับสนุนให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคมของสื่อในภูมิภาคอาเซียน (2) ใช้สื่อออนไลน์และสื่อสังคมออนไลน์ให้เต็มศักยภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดและทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานทุกคน (3) ร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ให้กับพลเมืองอาเซียนเพื่อลดปัญหาการแพร่กระจายข่าวลวง (4) ส่งเสริมการศึกษาเรื่องความรู้เท่าทันสื่อและดิจิทัลในระดับประเทศตามแนวคิด “ค่านิยมหลักของการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ในอาเซียน” (5) ส่งเสริมให้แต่ละประเทศมีการตรวจสอบและตอบสนองต่อปัญหาข่าวลวงทั้งการเฝ้าระวัง ติดตามการตรวจสอบข้อเท็จจริง และการสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลข่าวสารภาครัฐ (6) สนับสนุนให้ภาคประชาชนสังคม หน่วยงานด้านโทรคมนาคม องค์กรด้านสื่อ และภาคเอกชนร่วมสร้างบรรทัดฐานและแนวปฏิบัติในการยับยั้งข่างลวงตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของแต่ละประเทศสมาชิก และ (7) แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและประสบการณ์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ในการรับมือต่อความท้ายทายของข่าวลวง
4. เรื่อง ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย – ศรีลังกา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ไทย – ศรีลังกา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจาจัดทำ FTA ไทย – ศรีลังกา ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย – ศรีลังกา ที่จะใช้เป็นแนวทางในการเจรจาเพื่อจัดทำ FTA ไทย – ศรีลังกา แบบกรอบกว้าง ซึ่งครอบคลุม 20 ประเด็น ดังนี้
1. การค้าสินค้า 2. พิธีการศุลกากร 3. กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า 4. มาตรการปกป้องและมาตรการเยียวยาด้านการค้า 5. มาตรการปกป้องดุลการชำระเงิน 6. มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช 7. อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า 8. ความร่วมมือและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 9. การค้าบริการ 10. การลงทุน 11. ทรัพย์สินทางปัญญา 12. การแข่งขัน 13. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 14. การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 15. สิ่งแวดล้อม 16. แรงงาน 17. การคุ้มครองผู้บริโภค 18. การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ 19. ความโปร่งใส และ 20. เรื่องอื่นๆ
5. เรื่อง ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความร่วมมือระหว่าง ทส. แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม (ร่างบันทึกความร่วมมือฯ) หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ ทส. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ
สาระสำคัญของร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างอำนวยความสะดวกและพัฒนาความร่วมมือซึ่งกันและกันในสาขาสิ่งแวดล้อม บันทึกความร่วมมือฯ ฉบับนี้ ไม่ใช่สนธิสัญญาและไม่ก่อให้เกิดสิทธิหรือข้อผูกมัดใด ๆ ภายใต้ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ
สาขาความร่วมมือ ประกอบด้วย 1. การบรรเทาและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. การจัดการของเสีย 3. เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม 4. นโยบายและการวางแผนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5. การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย 6. การควบคุมคุณภาพและป้องกันมลพิษ เช่น มลพิษทางน้ำและอากาศ 7. การจัดการทะเลและชายฝั่ง 8. ข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม 9. สาขาอื่น ๆ ด้านการปกป้องและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการยืนยันจากทั้งสองฝ่าย
การเริ่มต้น ระยะเวลาและการสิ้นสุด บันทึกความร่วมมือฯ นี้ จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่มีการลงนาม อีกทั้งจะมีผลใช้บังคับเป็นเวลา 5 ปี และอาจจะขยายเวลาออกไปโดยผ่านความเห็นชอบร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทั้งสองฝ่ายหรืออาจสิ้นสุดเมื่อใดก็ได้ โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 6 เดือน ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ การสิ้นสุดของความร่วมมือภายใต้บันทึกความร่วมมือฯ จะไม่กระทบต่อระยะเวลาของโครงการหรือกิจกรรมซึ่งกำลังดำเนินการอยู่จนกว่าจะเสร็จสิ้นโครงการหรือกิจกรรมนั้น เว้นเสียแต่ว่าคู่ภาคีจะตกลงเป็นอย่างอื่น
6. เรื่อง ขออนุมัติการดำเนินโครงการ Country Programme
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับ Country Programme (CP) ระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Memorandum of Understanding a Country Programme between The Government of the Kingdom of Thailand and The Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจข้างต้นโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์โดยรวมของประเทศไทย กต. สามารถพิจารณาดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) หรือผู้แทนที่ได้รับการมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจข้างต้น โดยให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว
3. อนุมัติงบประมาณการดำเนินโครงการ CP ทั้งสิ้น จำนวน 121,278,200 บาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ CP โดยในส่วนงบรายจ่ายอื่น ลักษณะเงินอุดหนุน จำนวน 109,707,000 บาท ให้จัดสรรไปให้ กต. โดยตรงทั้งหมด เพื่อ กต. จะได้ดำเนินการมอบให้กับ OECD ต่อไป
สาระสำคัญ
กต. รายงานว่า บันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับ CP จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการดำเนินโครงการ CP โดย กต. ได้ปรึกษาหารือกับ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและได้เจรจาจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวกับฝ่าย OECD ผ่านสถานเอกอัคราชฑูต ณ กรุงปารีส เพื่อให้บันทึกความเข้าใจข้างต้นสอดคล้องกับความต้องการและผลประโยชน์สูงสุดของฝ่ายไทย โดยจะจัดทำบันทึกความเข้าใจเพียงฉบับเดียวที่ระบุหลักฐานเกณฑ์ความร่วมมือครอบคลุมสำหรับโครงการย่อยทั้ง 16 โครงการ ซึ่งการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับเดียวระหว่างฝ่ายไทยและ OECD จะช่วยให้การเจรจาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และทุกโครงการย่อยได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้เงื่อนไขที่สอดคล้องกัน โดยร่างบันทึกความเข้าใจ ดังนี้
วัตถุประสงค์
1. บันทึกความเข้าใจระหว่างคู่ภาคี กำหนดเงื่อนไขของความร่วมมือในเรื่อง โครงการ CP ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนวาระของการปฏิรูปประเทศไทยในเชินนโยบายหลายด้าน ส่งเสริมการรับรองตราสารทางกฎหมายของ OECD ที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการนำมาตรฐาน OECD ไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
2. กิจกรรมต่าง ๆ ที่กำหนดภายใต้บันทึกความเข้าใจจะต้องดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องและแนวปฏิบัติของคู่ภาคี และอยู่ภายใต้ส่วนที่รวมอยู่ในแผนงานและงบประมาณของ OECD
สาขาความร่วมมือ
มุ่งเน้น 4 เสาหลัก ได้แก่ (1) ธรรมาภิบาลภาครัฐและความโปร่งใส (2) สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน (3) ประเทศไทย 4.0 (4) การเติบโตอย่างทั่วถึง
รูปแบบของความร่วมมือ
เช่น (1) การศึกษาร่วมกัน การทบทวนนโยบายระดับชาติ และการวิเคราะห์อื่นๆ (2) การแลกเปลี่ยนข้อมูล (3) การแบ่งปันข้อมูลสถิติและข้อมูลอื่น ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ที่ดีขึ้นสำหรับคู่ภาคี (4) การจัดประชุมร่วม สัมมนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการ (5) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมระดับชาติและระดับภูมิภาค (6) ความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ของคู่ภาคี ผ่านภารกิจและการส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยปฏิบัติงานและ/หรือการให้ยืมเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานที่ OECD โดยกระทรวงหรือหน่วยงานของประเทศไทย
7. เรื่องการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุม High-Level Political Meeting ภายใต้กรอบความริเริ่มเพื่อความมั่นคงจากการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ไทยรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมในการประชุม High-Level Political Meeting ภายใต้กรอบความริเริ่มเพื่อความมั่นคงจากการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Proliferation Security Initiative : PSI) ระหว่างวันที่ 15-17 พฤษภาคม 2561 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส จำนวน 4 ฉบับ ตามที่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างความพร้อมต่อ PSI (Ensuring a Robust Initiative)
2. แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างศักยภาพและการปฏิบัติที่สำคัญยิ่งในการสกัดกั้น (Enhancing Critical Interdiction Capabilities and Practices)
3. แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการขยายการสื่อสารเชิงกลยุทธศาสตร์ (Expanding Strategic Communications)
4. แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินการ (Strengthening Authorities for Action)
ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวขอให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญ
ร่างแถลงร่วมฯ ทั้ง 4 ฉบับ เป็นถ้อยแถลงที่แสดงความมุ่งหมายและเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐสมาชิก ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ขยายอาวุธ ที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการต่าง ๆ รวมทั้งการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างประเทศของไทยในการสกัดกั้นและยับยั้งการส่งผ่าน ถ่ายลำ และขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามระหว่างประเทศที่ทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติแจ้งว่าร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง 4 ฉบับ ไม่มีผลผูกพันในลักษณะของสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับไทยมีกฎหมายภายในครอบคลุมการดำเนินการตามกรอบ PSI ด้วยแล้ว
แต่งตั้ง
8. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นายปัญญา กางกรณ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรเชี่ยวชาญ) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
9. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายนิพัทธ์ สีมาขจร นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
10. เรื่อง รัฐบาลราชอาณาจักรสวาซิแลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรณีรัฐบาลราชอาณาจักรสวาซิแลนด์มีความประสงค์ขอแต่งตั้ง นายอึมลอนดี โซโลมอน ดลามีนี (Mr. Mlondi Solomon Dlamini) ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย สืบแทน นางสาวซาเนเล แอนเจลีน อึมดลูลี (Ms. Zanele Angeline Mdluli) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
11. เรื่อง รัฐบาลสาธารณรัฐอิตาลีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรณีรัฐบาลสาธารณรัฐอิตาลีมีความประสงค์ขอแต่งตั้ง นายโลเรนโซ กาลันตี (Mr. Lorenzo Galanti) ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายฟรันเชสโก ซาเวรีโอ นีซีโอ (Mr. Francesco Saverio Nisio) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
12. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายสุวัฒน์ แก้วสุข กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ อัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมยุโรป
2. นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
14. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน จำนวน 2 คน ดังนี้
1. นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์
2. นายอนุชา เศรษฐเสถียร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป
15. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 99/2561 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 99/2561 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 324/2560 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 นั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้ปรับปรุงการมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 324/2560 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ดังนี้
1. ให้ยกเลิกความในข้อ 2.2.1 ในส่วนที่ 2 รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ข้อ 2.1.5 "2.1.5 คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ"
2. มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มเติม ดังนี้
2.1 ในส่วนของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ข้อ 1.1.14 และ ข้อ 1.3.17 "1.1.14 คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ 1.3.17 คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ"
2.2 ให้ยกเลิกความในข้อ 4.2 ในส่วนของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
"4.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
4.2.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก
4.2.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4.2.3 อุปนายกสภาลูกเสือไทย
ทั้งนี้ ข้อ 1 ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ข้อ 2 ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี