19 พ.ค.61 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขียนบทความ “ขอเวลาอีกไม่นาน แต่ความสง่างามหมดเมื่อครบ 4 ปี” บนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thirachai Phuvanatnaranubala” ชี้ว่า แม้จะเป็นความจริงที่การเข้ามาบริหารประเทศโดยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมือง การชุมนุมประท้วงบนท้องถนนในสังคมไทยหยุดลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับพบว่าการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ เกิดขึ้นน้อยมาก จึงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ คสช. เอง ดังนี้..
“ในวันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561 จะครบรอบ 4 ปีของการปฏิวัติ คสช. ต้องตั้งคำถามว่า ความสง่างามจะหมดไปหรือไม่? ไม่กี่วันมานี้ พลเอกประวิตรแสดงความเห็นต่อสื่อมวลชนว่า คสช. ทำงานมาตลอด ถ้า 4 ปีไม่ดีจริง อยู่ไม่ได้ คสช. เข้ามามีแต่ความสงบเรียบร้อย มีด้านไหนที่ไม่ดีบ้าง?คนส่วนใหญ่ ยังจำวิกฤติการเมืองสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ได้ดี ถึงแม้ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองมามากก็ตาม แต่วิกฤตในปี 2556/7 นั้นยืดเยื้อยาวนานมากเป็นพิเศษ ประชาชนจำนวนมากเฝ้าดูโทรทัศน์เลือกข้างกันทุกวัน”
“ภาพพจน์ของประเทศตกต่ำ สะท้อนไปถึงด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อ คสช. ปฏิวัติรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ จึงได้รับคำแซ่ซ้องยินดี อย่างน้อยความตึงเครียดยุติชั่วคราว และเป็นการให้เวลาประเทศครุ่นคิด น่าจะมีการพิจารณาหาทางออกอย่างไร?เพื่อป้องกันมิให้มีความขัดแย้งทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้น ในช่วงแรกของวาระปฏิวัติ ประชาชนส่วนใหญ่จึงเทคะแนนให้ คสช. ในผลงานการสร้างความสงบเรียบร้อย เป็นปัจจัยหลัก”
“แต่การบริหารประเทศนั้น มีปัจจัยอื่นอีกมากมาย นอกเหนือจากการรักษาความสงบเรียบร้อย นอกเหนือจากการบริหารงานเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนประจำวัน ไม่ว่าในด้านการวางแผนระยะยาวเพื่อพัฒนาประชาชน และพัฒนาประเทศ ไม่ว่าในด้านการสร้างความเป็นธรรมในสังคม ให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน ไม่ว่าในด้านการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ให้ทุกคนมีโอกาสตั้งต้นขั้นต่ำ ที่เท่าเทียมกันมากขึ้น”
“ไม่ว่าในด้านการป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะการทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน ไม่ว่าในด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดรับฟังความเห็น หรือคำท้วงติงของประชาชน อย่างจริงใจ และไม่ว่าในการบริหารรัฐบาลแบบโปร่งใส ตามหลัก Open government ของสหประชาชาติ แต่ที่ผ่านมา 4 ปี รัฐบาล คสช. ทำงานด้านเหล่านี้น้อยมาก เป็นเพราะเหตุใด?”
“ผมคิดว่า เป็นเพราะไม่มีการกำหนดวาระที่ชัดเจนสำหรับ คสช. นี่เอง และเมื่อไม่มีวาระที่ชัดเจน ก็ย่อมไม่มีแรงกดดัน ที่จะต้องวางแผนสำหรับ 100 วันแรก 100 วันที่สอง 100 วันที่สาม ฯลฯ ดังเช่นที่รัฐบาลมาเลเซีย เพิ่งจะแสดงตัวอย่างให้เห็น และดังที่สื่อมวลชนในหลายประเทศ จะตั้งเป็นหมุดเวลา เพื่อประชาชนจะประเมินรัฐบาล และเพื่อรัฐบาลจะประเมินตัวเอง”
“การกำหนดวาระในการบริหารประเทศนั้น เป็นกติกาหลักในระบบการเมืองส่วนใหญ่ของโลก เพราะคณะบุคคลที่ทำหน้าที่บริหารประเทศนั้น จะต้องไม่ใช่การดำรงตำแหน่งจนชีวิตจะหาไม่ อันแตกต่างจากตำแหน่งประมุขของประเทศที่เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ การกำหนดวาระสำหรับคณะบุคคลที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ นอกจากจะเปิดให้มีการเปลี่ยนแปลงบุคคลที่อาจจะทำงานได้ดีกว่าแล้ว ยังเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบเก้าอี้ ภายหลังจากรัฐบาลเดิมลุกออกไป ว่ามีสิ่งใดแปดเปื้อนอยู่หรือไม่?”
“ในการสอบบัญชีของบริษัทเอกชนนั้น ประเด็นที่จะต้องตั้งข้อสงสัยประการหนึ่ง คือกรณีถ้าหากมีเจ้าหน้าที่ด้านการเงินที่ขยันผิดปกติ แทนที่จะลาพักร้อนเหมือนชาวบ้าน กลับขยันทำงานไม่มีวันหยุด เพียงเพื่อพยายามจะนั่งทับหลักฐานการทุจริต มิให้ผู้อื่นสังเกต หลักการกำหนดวาระในการบริหารประเทศ 4 ปีนั้น มีอยู่ในการเมืองไทยอยู่แล้ว โดยรัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดไว้ในมาตรา 104 และปี 2560 ในมาตรา 99”
“ดร.วีระพงษ์ รามางกูร เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เมื่อทหารยึดอำนาจ เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ทหารก็ไม่ใช่ทหารอีกต่อไป แต่กลายเป็นนักการเมืองไปแล้ว และเป็นนักการเมืองที่ไม่ได้รับความยินยอมจากประชาชน แต่เป็นนักการเมืองที่แต่งตั้งตนเองขึ้นมา และเมื่อทหารกลายเป็นนักการเมือง เมื่อทอดเวลานานไป ก็อาจจะสวมใส่พฤติกรรมของนักการเมือง อาจจะอดไม่ได้ ที่จะวางแผนเพื่อสืบทอดอำนาจ”
“อาจจะอดไม่ได้ ที่จะทำโครงการเพื่อนายทุน ทั้งระดับชาติ และระดับนานาชาติ เพื่อเอื้อต่อการหาทุนตั้งพรรคการเมือง อาจจะอดไม่ได้ ที่จะสร้างกติกา เพื่อประโยชน์ของกลุ่มของตน อาจจะไม่อดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ตนเองเสียคะแนน จึงอาจจะอดไม่ได้ ที่จะใช้กฎหมายห้ำหั่นคู่ต่อสู้ ซึ่งกรณีการแจ้งความเอาผิดพรรคเพื่อไทย ที่มีบางบุคคลในพรรคออกมาวิจารณ์รัฐบาล คสช. นั้น ก็ถูกวิจารณ์ได้ว่าเข้าลักษณะนี้”
“ทั้งนี้ การที่พลเอกประวิตรแสดงความเห็นต่อสื่อมวลชนว่า คสช. ทำงานมาตลอด ถ้า 4 ปีไม่ดีจริง อยู่ไม่ได้นั้น เป็นการประเมินตนเองแบบแคบ เพราะการปกครองภายใต้อำนาจของกระบอกปืน และโดยมีอำนาจพิเศษนั้น แตกต่างจากสถานการณ์ปกติมาก พลเอกประวิตรตั้งคำถามว่า ที่ คสช. เข้ามานั้น มีด้านไหนที่ไม่ดีบ้าง? คำถามนี้ จะมีคนตอบในใจ แต่อาจจะไม่อยากตอบออกมาดังๆ”
“แต่ถ้าท่านตั้งคำถามใหม่ว่า ที่ คสช. เข้ามานั้น มีด้านไหนที่ดีบ้าง? มีอะไร ที่สมควรจะได้ทำใน 4 ปี แต่ไม่ได้ทำบ้าง?มีกลไกด้านบริหาร และด้านสังคมใด ที่สร้างไว้ ที่จะยังประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังอย่างจริงจังบ้าง?คราวนี้ ท่านจะได้คำตอบที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นประโยชน์ในการบริหารประเทศชาติสืบไปด้วย”
“คำถามอย่างนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมฉุกคิด ครบรอบ 4 ปีของการปฏิวัติ คสช. ความสง่างามกำลังจะหมดลงเสียแล้ว!!!”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี