27 พ.ค.61 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล บริหารประเทศครบ 4 ปี เมื่อ 22 พ.ค.61 ที่ผ่านมา ถูกวิพากษ์ว่าทำให้ความเชื่อมั่นถดถอย กล่าวคือ
1.ความเชื่อมั่นทางการเมืองถดถอย (1) ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ต่างร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่า คสช.ออกคำสั่งที่ 53/2560 ขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้พรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองเสียหาย ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายที่มีมาแต่เดิม (2) พรรคเพื่อไทยแถลงข่าววิจารณ์ผลงานรัฐบาลในโอกาสครบรอบ 4 ปี
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนไปบริหารประเทศ ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่กลับถูก คสช.แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงว่าขัดคำสั่ง คสช.ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง และคดีความมั่นคงตาม ม.116
(3) เลื่อนการเลือกตั้งหลายครั้ง จนเกิดกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ซึ่งมีแกนนำเป็นนักศึกษา เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งใน พ.ย.61 ตามที่นายกรัฐมนตรีเคยรับปากกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งไปเยือน แต่การเรียกร้องดังกล่าวกลับถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่ง คสช. ทำให้ได้รับเสียงคัดค้านจากนานาชาติ โดยเฉพาะจาก UN ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวกลุ่มคนอยากเลือกตั้งในทันที (4) มีการตั้งเพจสอบถามความนิยมที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ ปรากฎว่าในจำนวนผู้แสดงความเห็นเกือบห้าแสนคน มีผู้แสดงความเห็นไม่สนับสนุนให้อยู่ต่อกว่า 90%
2.ความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ยังเป็นปัญหาหลักของประชาขนส่วนใหญ่ ที่รัฐบาลยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ ทั้งนี้ การที่ตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ดีขึ้น พิสูจน์แล้วว่าดีเฉพาะบริษัทส่งออกใหญ่ๆ ไม่กี่บริษัท ช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งสูงขึ้น ดังที่พูดกันติดปากขณะนี้ว่า รวยกระจุก จนกระจาย 3.ความเชื่อมั่นในความเป็นกลางของรัฐบาลไม่มี มีข้อพิจารณาว่า รัฐบาลจะเป็นกลางหรือไม่ จะร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม ให้ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนและนานาอารยประเทศ หรือไม่ มีข้อสังเกตว่า เมื่อใกล้จะครบ 4 ปี ของการบริหาร รัฐบาลถูกวิพากษ์ว่าจะสืบทอดอำนาจต่อ เพราะมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสนับสนุน ถึงขนาดมีการวิพากษ์ว่าใช้สถานที่ราชการประชุมปรึกษาหารือ เพราะมีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่า มีรัฐมนตรีในรัฐบาลเป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค และยังมีการตั้งพรรคการเมืองสนับสนุนรัฐบาลอีกหลายพรรค สอดคล้องกับการจัดทำกติกาในรัฐธรรมนูญให้ระบบการเลือกตั้งเป็นแบบจัดสรรปันส่วนผสม เพื่อให้พรรคการเมืองเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย
นอกจากนี้ ช่วงเข้าปลายปีที่ 4 รัฐบาลได้ออกประชุม ครม.สัญจร บ่อยครั้ง ทุกครั้งจะมีการพบอดีตนักการเมืองในพื้นที่ มีเสียงครหาใช้พลังดูดทั้งงบประมาณและโครงการพัฒนาเพื่อประโยชน์ในทางการเมืองร่วมกัน ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อภาพลักษณ์ของประเทศไปมากกว่านั้นก็คือ ภายใต้กติกาที่ คสช.กำหนดไว้ จะมีการคงมาตรา 44 ไว้ทั้งก่อนการเลือกตั้ง ระหว่างเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งจนกว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะแล้วเสร็จ
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น ตนมองว่าเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ประเทศไม่ได้รับความเชื่อมั่น ซึ่งความไม่เชื่อมั่นนั้นกระทบกับคนไทยทุกภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพ ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของประเทศ
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ตนมองว่า การขาดความเชื่อมั่นเป็นทางตันของประเทศ เมื่อทราบถึงปัญหา ทราบสาเหตุของปัญหา ตามหลักพุทธศาสนาก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ปัญหาถึงจะยุติ ตนเชื่อว่า ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ ไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้ ทุกปัญหามีทางออก เช่น เริ่มมีผู้ให้ความเห็นว่า ควรมีรัฐบาลเฉพาะกาล จะได้มีความเป็นกลาง สร้างความเชื่อมั่นประเทศ โดยใช้กติกาที่เป็นประชาธิปไตย
"ตนมั่นใจว่า ประเทศไทยจะต้องไม่เป็นคนป่วยแห่งเอเซียอย่างแน่นอน เชื่อว่ามีหลายภาคส่วนเห็นความบอบช้ำของประเทศและประชาชน พยายามหาทางออกให้กับประเทศ และทางออกนั้นจะนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่เชื่อมโยงกับสากล จึงขอให้กำลังใจประชาชนคนไทย อย่าเพิ่งท้อถอย ขอให้อดทน ใช้สติดิดตามข้อมูลทุกด้านอย่างรอบคอบ และใช้แนวทางสันติในการแก้ปัญหา เพื่อร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศสืบไป" นายชวลิต กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี