29 พ.ค.61 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Thirachai Phuvanatnaranubala" ในหัวข้อ "ถึงเวลาต้องทบทวนกติกาธุรกิจน้ำมัน" โดยระบุว่า ปริมาณการใช้นำมันของประเทศไทยแต่ละวันมหาศาล ดังนั้น หากมีกติกาใด ที่ทำให้ธุรกิจในห่วงโซ่ ห่วงใดห่วงหนึ่ง มีกำไรได้สูงกว่าอัตราปกติ แม้จะเป็นอัตราเพียงเล็กน้อย แต่ก็จะทำให้ธุรกิจในห่วงโซ่นั้น สามารถมีกำไรมหาศาล และผู้ที่จะต้องแบกรับภาระ ที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้มีกำไรมหาศาล เกินกว่าปกติ ก็คือประชาชนผู้บริโภคทั้งหมดนั่นเอง
ปีนี้ เป็นปีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับ 40 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ไปเป็นระดับ 70 ดอลล่าร์ ทำให้ประชาชนผู้บริโภค ตั้งข้อสงสัยว่า มีบริษัทในห่วงโซ่ธุรกิจน้ำมัน ที่ได้กำไรเกินกว่าปกติหรือไม่? สาเหตุที่ประชาชนตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้ เนื่องจากเห็นว่า ตั้งแต่มีการปฏิวัติในปี 2557 มีปรากฏการณ์หลายครั้ง ที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง แต่ราคาขายปลีกในประเทศไทยไม่ลด หรือลดลงน้อยมาก
ผมจำได้ว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ ในเวทีสาธารณะที่มีการถกเถียงกันเรื่องสัมปทานปิโตรเลียม ในห่วงโซ่ธุรกิจน้ำมันนั้น ห่วงโซ่ซึ่งมีนัยสำคัญสูงสุด คือห่วงโซ่ของโรงกลั่นน้ำมัน และห่วงโซ่ของการขายส่งขายปลีกน้ำมัน
สำหรับห่วงโซ่ของการขายส่งขายปลีกน้ำมันนั้น ขณะนี้ ดูเหมือนจะมีการแข่งขันกันมากพอสมควร โดยผู้เล่นแต่ละราย ไม่มีรายใดที่ครองสัดส่วนการตลาด ที่สูงมากเป็นพิเศษ แต่สำหรับห่วงโซ่ของโรงกลั่นน้ำมัน ประชาชนทั่วไปยังมีข้อกังวลว่า มีกติกาใดที่ยังขาดความเหมาะสมหรือไม่? ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมัน ได้กำไรเกินกว่าอัตราปกติที่ควรจะเป็นหรือไม่?
ในเรื่องนี้ผมพบว่า น่าจะมีกติกาที่ไม่เหมาะสม อยู่สองเรื่องด้วยกัน หนึ่ง สำหรับน้ำมันที่ค้นพบในประเทศไทย แล้วนำขึ้นมากลั่นในไทย เพื่อใช้ในประเทศไทยนั้น ไม่ควรอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่น ที่ประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากน้ำมันส่วนนี้ ไม่ใช่น้ำมันนำเข้าจากตะวันออกกลาง จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องเอื้อเฟื้อ ให้โรงกลั่นน้ำมันได้รับกำไร เกินกว่าอัตราปกติ รัฐควรกำหนดเพดานราคา สำหรับน้ำมันส่วนนี้ โดยพิจารณาต้นทุนของภาคธุรกิจ แล้วกำหนดอัตรากำไร เพียงเท่าที่พอเหมาะพอสม สอง สำหรับน้ำมันที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ และทำการกลั่นในประเทศไทย เพื่อใช้ในประเทศไทยนั้น ในอดีตที่ผ่านมา รัฐได้กำหนดราคาเทียบกับหน้าโรงกลั่นที่ประเทศสิงคโปร์แต่ + ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง จากประเทศสิงคโปร์เข้ามายังประเทศไทย ให้แก่โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยด้วย
ค่าใช้จ่ายในการขนส่งดังกล่าว เป็นค่าใช้จ่ายเทียม และกำหนดขึ้นเพื่อเปรียบเทียบกับราคา โดยสมมุติว่า น้ำมันดังกล่าวมีการกลั่นที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วขนส่งมาใช้ที่ประเทศไทย โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย ไม่มีโรงใดที่มีการควักกระเป๋า จ่ายเงินค่าขนส่งดังกล่าวจริงๆ เลย เป็นเพียงค่าใช้จ่ายสมมุติ ที่ตั้งขึ้น เพิ่มเป็นรายได้ให้แก่โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย
ในช่วงที่ประเทศไทยยังไม่มีโรงกลั่น หรือมีโรงกลั่น แต่กำลังการผลิตยังไม่พอที่จะใช้งานในประเทศ กติกาดังกล่าว จึงทำให้โรงกลั่นน้ำมันได้กำไรในอัตราที่สูง เป็นการจูงใจให้มีการลงทุนก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันกันมาก แต่เมื่อใดที่มีโรงกลั่นน้ำมันมากเพียงพอแล้ว กติกานี้ก็ควรจะต้องเปลี่ยนแปลง แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมา ไม่ได้มีใครแตะต้องกติกานี้ หรือหยิบยกขึ้นมาทบทวน ถามว่า - ถ้าให้ความเป็นธรรมแก่โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย ราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย ควรจะกำหนดอย่างไร?
สำหรับน้ำมันส่วนที่นำเข้าจากตะวันออกกลาง และนำมากลั่น ที่โรงกลั่นน้ำมัน ทั้งที่ในประเทศสิงคโปร์ และในประเทศไทย ควรจะกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นที่เท่ากัน ดังนั้น ราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย ก็ควรจะเท่ากับราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะทั้งสองกรณีดังกล่าว โรงกลั่นน้ำมันนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเหมือนกัน
การกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ที่เท่ากัน จึงเป็นธรรมสำหรับโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย แต่ทั้งนี้ ในเมื่อปัจจุบัน ประเทศไทยมีกำลังการกลั่นน้ำมันมากเพียงพอแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะให้โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย ได้รับประโยชน์จากค่าขนส่งเทียม จากประเทศสิงคโปร์เข้ามาประเทศไทย อีกต่อไป! กำลังการกลั่นน้ำมันในประเทศไทยขณะนี้ มิใช่เพียงพอที่จะใช้ในประเทศเท่านั้น แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เป็นหนึ่งในสองประเทศในอาเซียน คู่กับประเทศสิงคโปร์เท่านั้น!
ถ้าหากจะบอกว่า โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย มีต้นทุนในการขนส่ง ที่สูงกว่าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศสิงคโปร์ ก็ต้องเปรียบเทียบค่าขนส่งน้ำมันดิบ จากตะวันออกกลางมายังประเทศสิงคโปร์ กับค่าขนส่งน้ำมันดิบ จากตะวันออกกลางมายังประเทศไทย ถ้าจะให้โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างค่าขนส่ง ก็จะมีเฉพาะส่วนต่างตรงนี้เท่านั้น แต่การขนส่งทางเรือ ในระยะทางไกลจากตะวันออกกลาง มายังประเทศสิงคโปร์ เปรียบเทียบกลับมายังประเทศไทย น่าจะมีข้อแตกต่างไม่มาก ดังนั้น จึงอาจจะไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องบวกส่วนต่างค่าขนส่งตรงนี้
ผมจึงคิดว่า เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ ของรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ ที่ไม่มีผลประโยชน์ทางด้านการเมือง จะต้องรื้อกติกานี้ และกติกาอื่นๆ ถ้ามีกติกาใดที่ให้ประโยชน์เกินกว่าที่ควร แก่ภาคธุรกิจในห่วงโซ่น้ำมัน ไม่ว่าห่วงโซ่ใด นอกจากนี้ รัฐบาลควรจะต้องคำนึงว่า การที่จะเปิดให้มีการใช้กลไกตลาด หรือราคาตลาด ในการกำกับดูแลพรรคธุรกิจนั้น ห่วงโซ่ทุกห่วง ในโซ่ธุรกิจ จะต้องมีการแข่งขันกันอย่างเสรี จะต้องไม่มีผู้ใดผูกขาด
จึงถึงเวลาที่รัฐบาลนี้ จะแก้ไขกติกา และทบทวนกฎระเบียบทั้งหมด เพื่อทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนผู้บริโภคอย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี