3 มิ.ย.61 นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่ม นปช.ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ร่วมเปิดตัวพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ในวันนี้ ว่า ทำไมต้องตั้ง “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” และทำไมน้ำตาต้องท่วมเวที เพราะลำพังห้ามาตรการดังต่อไปนี้ ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า คสช.จะสืบทอดอำนาจได้จากการเลือกตั้งตาม รธน.60ของพวกเขา
1.การทำงานมวลชนอย่างทุ่มเท ใช้กำลังพลทั้งทหารและพลเรือนนับแสน ลงพื้นที่เกือบเก้าหมื่นหน่วย รวมทั้งงบประมาณจำนวนหลายแสนล้านบาท เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนที่มีต่อพรรคเพื่อไทย ระบอบทักษิณ และการเมืองเก่าแบบเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ แม้จะซ่อนเร้น “ภายใต้ข้ออ้างว่ายกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน” ก็ตาม
2.การจัดการกับพรรค “อนาคตใหม่” (อคม.) โดยการขู่ถึงขั้นอาจจะโดนยุบพรรค หรืออาจจะถูกกล่าวหา ว่าเป็น “กบฏ” ด้วยซ้ำเพียง เพียงเมื่อ อคม.ประกาศที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 โดยให้ประชาชนมีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ทั้งนี้ เนื่องจากการตอบรับของประชาชนวงการต่างๆที่มีต่อพรรคอนาคตใหม่เป็นไปอย่างคึกคักและนับแต่ขยายตัวเข้มแข็งมากยิ่งๆ ขึ้นทุกวัน
3.การจัดการกับพรรค “เพื่อไทย” ในหลายมิติ ที่หนักหน่วงที่สุด ก็คือการตั้งข้อหา ผู้ใหญ่พรรคจำนวน8ท่านด้วยข้อกล่าวหาฉกรรจ์6ข้อหาด้วยกัน และข้อกล่าวหาดังกล่าวพร้อมที่จะยกระดับเป็น “การยุบพรรค” ได้ในทันทีที่มีความจำเป็น แต่กลายเป็นว่า ยิ่งตีก็ยิ่งโต ยิ่งทุบก็ยิ่งขยายตัว ยิ่งรังแกยิ่งได้รับคะแนนสงสารมากขึ้น
4.การดูด นักการเมือง ชื่อดัง กลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนครปฐม กลุ่มสมศักดิ์เทพสุทิน กลุ่มสุวัจน์ลิมปตพัลลภ กลุ่มชลบุรี กลุ่มสุชาติตันเจริญ กลุ่มสุพรรณบุรี อดีต สส.ปชป ฯลฯ เพื่อเตรียมมาเป็นฐานการเมืองรองรับคสช.ในอนาคตแต่เมื่อดูจากความเป็นจริงแล้วปริมาณยังไม่พอ แม้จะนับรวมภูมิใจไทยเข้าไปด้วยก็ตาม
5.พรรคการเมืองตั้งใหม่จำนวนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคประชาชนปฏิรูป และพรรคอื่นๆ อีกหลายพรรค ก็ไม่สามารถเป็นแกนกลางในการสร้างฐานมั่นคงแข็งแรงสนับสนุน คสช.ให้กลับมาเป็นนายกฯ หรือรัฐบาลได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัย ฐานมวลชน กปปส.ที่ คสช.ฝากความหวังไว้ว่า จะสร้างฐานคะแนนสนับสนุนได้ นี่จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)
เริ่มแรกตั้งใจที่จะให้ใหญ่โตเลิศหรูอลังการ แต่พอ คุณธานี เทือกสุบรรณ เปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนา 61 ก็แผ่วทันที ไม่ได้เกิดผลสะเทือนที่มุ่งมาดปรารถนาเลยแม้แต่น้อย จึงต้องพยายามที่จะไปรวบรวมเอา แม่เหล็กมารวมตัวกันจัดตั้งเป็นพรรค จนได้ อเนกเหล่าธรรมทัศน์ ประสารมฤคพิทักษ์ สุริยใสกตะศิลา จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจจะสร้างแรงสะเทือนได้
ร้อนถึงสุเทพเทือกสุบรรณต้องเปลืองตัวลงมาเล่นเอง แต่สุเทพมาเล่นบทนี้กลับเป็นการลดเกรดตนเองให้ถอยลงจากเดิม ที่เป็นหัวหน้า กปปส.ประกาศว่ามีมวลมหาประชาชนหลายสิบล้านคนสนับสนุนตน
มาวันนี้หาคนมาเข้าร่วมเพื่อจัดตั้งพรรคยังแทบจะควานหาไม่เจอ ขุนพลรอบข้างกลับไปซบกับประชาธิปัตย์แทน และที่หวังว่า กปปส.จะไปยึดครองประชาธิปัตย์ นั้นแทบจะไม่เห็นหนทางใดเลยว่าจะเป็นจริงไปได้ (ถ้าเป็นเพียงพันธมิตรกันในบางเรื่องอาจจะเป็นไปได้)
ในวันนี้ (3มิย61) การเปิดตัว รปช.แทนที่จะสร้างผลสะเทือนทางการเมืองได้อย่างแรง กลับไม่มีอะไรเลยในการเปิดตัวในครั้งนี้ มีก็แต่น้ำตาของนายสุเทพท่วมเวที ซึ่งก็ไม่ทราบว่าน้ำตาที่หลั่งมานี้ หลั่งมาด้วยความสะเทือนใจที่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ กปปส.ชัตดาวน์ประเทศไทยจริงหรือไม่
หรือหลั่งเพราะถูกแทงใจดำด้วยข้อกล่าวหาว่า “ตระบัดสัตย์” ซึ่งจะนำความเสียหายมาให้กับ รปช.เอง หรือ “ขมขื่นใจกับการปิดประเทศของ กปปส.เพื่อกรุยทางให้เกิดการรัฐประหาร คสช.แล้ว สิ่งที่เรียกว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” หรือเปล่า
การเปิดตัวของ รปช.น่าผิดหวังโดยสิ้นเชิง แม้จะเป็นการเปิดตัวของฝ่ายสนับสนุนรัฐประหาร แต่ก็น่าจะยิ่งใหญ่อลังการสร้างผลสะเทือนทางการเมืองได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า การเปิดตัวของ น้องใหม่ที่เพิ่งเริ่มแจ้งเกิดทางการเมืองอย่าง “อนาคตใหม่” แต่การณ์กลับเป็นว่า เทียบชั้นกันไม่ได้เลย แบบมองไม่เห็นฝุ่น
อย่าคิดว่า “การใช้น้ำตา” จะเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ อย่าคิดว่า เพียงพร่ำพูดว่า “ยอมเป็นขี้ข้าประชาชน” แล้วจะเรียกเสียงสนับสนุนจากประชาชนได้ เพราะประชาชนเห็นได้อย่างชัดเจนจากบทบาทของ นายสุเทพตลอดระยะของการเป็นนักการเมืองอย่างยาวนานแล้วว่า ยอมเป็นขี้ข้าประชาชนหรือไม่
ยิ่งในตอนที่เป็น กปปส.ยิ่งชัดเจนว่า สุเทพยอมเป็นขี้ข้าประชาชนหรือไม่ ขี้ข้าประชาชนคนไหนที่ ยกกองกำลังไปปิดล้อมธนาคารสามแห่งที่เตรียมเงินนับพันล้านเพื่อจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนา ขี้ข้าประชาชนคนไหนที่ยกกำลังไปปิดล้อมสถานเอกอัครราชทูตสองประเทศใหญ่ประจำประเทศไทยเพื่อเรียกร้องไม่ให้ซื้อข้าวจากไทย
ประชาชนต้องจับตาดูต่อไปว่า บรรดาคนทั้งหลายเหล่านี้จะมีบทบาทอย่างไรต่อไปในอนาคตการเมืองไทย ยังจะสร้างสถานการณ์เพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจอีกต่อไปหรือไม่ ยังจะทำหน้าที่เป็นบริษัทบริวารให้กับคณะยึดอำนาจรัฐประหารในการบริหารประเทศอีกต่อไปหรือไม่
คำตอบไม่ได้อยู่ในสายลมแต่อย่างใด แต่เห็นได้ชัดจากประวัติทางการเมืองของบรรดาพลพรรคเหล่านี้ต่างหาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี