12 มิ.ย.61 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมพระบาง ชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4/2561
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลมสำหรับรถยนต์และส่วนพ่วง ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลมสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์และส่วนพ่วง ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลมสำหรับรถจักรยานยนต์และโมแปด ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลม : ข้อกำหนดด้านเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก และความต้านทานการหมุน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กษ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลมสำหรับรถยนต์ และส่วนพ่วงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลมสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์และส่วนพ่วง ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลมสำหรับรถจักรยานยนต์และโมแปด และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางล้อแบบสูบลม : ข้อกำหนดด้านเสียง จากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก และความต้านทานการหมุน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการให้เจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทำการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำถือปฏิบัติ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการให้เจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทำการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำถือปฏิบัติ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กษ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้เจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทำการประมง หรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำถือปฏิบัติ สรุปได้ดังนี้
1. กำหนดให้เจ้าของเรือที่จดทะเบียนเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อการประมง หรือเรือบรรทุกน้ำจืดที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอส และเรือที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยเป็นเรือกลเดินทะเลใกล้ฝั่ง เรือกล เดินทะเลเฉพาะเขต เรือกลเดินทะเลชายแดน เรือกลเดินทะเลระหว่างประเทศ ประเภทการใช้บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส และประเภทการใช้บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอส แต่ไม่เกิน 1,000 ตันกรอส ติดตั้งระบบติดตามเรือตามมาตรฐานสมรรถนะของอุปกรณ์และข้อกำหนดเชิงหน้าที่ของระบบติดตามเรือประมงที่ได้จดทะเบียนเป็นเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ หรือเรือเก็บรักษาสัตว์น้ำ รวมทั้งแจ้งข้อมูล รหัสกล่องหรือรหัสอุปกรณ์ ชื่อ หรือหมายเลขทะเบียนเรือ ภาพถ่ายเรือ ตามแบบรายงาน ศฝป. 4A ต่อศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำการประมงภายใน 7 วัน หลังจากติดตั้งแล้วเสร็จ ยกเว้นเรือบรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันเตา และเรือบรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีการทำสัญญาโดยตรงกับบริษัทน้ำมันในประเทศไทย ให้เป็นผู้จัดส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันระหว่างคลังน้ำมันในประเทศไทย หรือขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันระหว่างคลังน้ำมันในประเทศไทยกับต่างประเทศ
2. กำหนดให้เจ้าของเรือที่จดทะเบียนเรือตามข้อ 1. ต้องแจ้งการเข้าออกท่าเทียบเรือประมงทุกครั้งด้วยวิธีการแจ้งโดยตรงหรือทางโทรสาร ไปยังศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออกก่อนดำเนินการไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และต้องดูแลระบบติดตามเรือให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา การแจ้งปิดระบบติดตามเรือ ให้แจ้งตามแบบรายงาน ศฝป. 1A โดยให้ทำได้เฉพาะกรณี ดังนี้
2.1 เรือเกิดการชำรุด เสียหายต้องซ่อมแซมโดยนำเรือขึ้นคาน โดยต้องมีหนังสือรับรอง จากอู่ซ่อมเรือ โดยระบุวันที่เริ่มต้นขึ้นคาน และลงจากคาน
2.2 อุปกรณ์ระบุตำแหน่งเรือชำรุด และอยู่ระหว่างซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ โดยต้อง มีหนังสือรับรองจากผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม
2.3 เรืออับปาง โดยแนบสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมาด้วย
2.4 แจ้งงดการใช้เรือตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย โดยแนบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ทราบด้วย
3. กำหนดให้เจ้าของเรือที่จดทะเบียนเรือตามข้อ 1. ที่ได้แจ้งหรือขออนุญาตใดๆ ด้วยวิธีการ ทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ Single Window @ Marine Department ตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่ากำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นการแจ้งการเข้าออกท่าเทียบเรือประมงตามกฎกระทรวงนี้
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แก้ไขเพิ่มเติมตามมติที่ประชุม [การประชุมปรึกษาหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน] แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. …. ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. …. แล้วให้ส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
1.1 กำหนดให้มี “สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ประกอบด้วยประธานสภาหนึ่งคนและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินสิบห้าคน และให้ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการ ก.พ.ร. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการสภา และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
1.2 กำหนดให้ประธานสภาและกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี โดยผู้ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
1.3 กำหนดให้สภาสามารถมีมติให้เชิญปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องที่พิจารณา หรือผู้ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญมาเข้าร่วมประชุมเป็นครั้งคราวในฐานะกรรมการสภาด้วยก็ได้ โดยให้ผู้ที่ได้รับเชิญมามีฐานะเป็นกรรมการสภาสำหรับการประชุมครั้งที่ได้รับเชิญนั้น
1.4 กำหนดให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่กำหนดกรอบทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จัดทำร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
2. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2.1 กำหนดให้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างต่อเนื่องในแต่ละช่วงระยะเวลาห้าปี
2.2 กำหนดให้มีคณะกรรมการยกร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในแต่ละด้านตามกรอบของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่ยกร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเสนอต่อสภาพิจารณา โดยต้องมีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อนำมาประกอบการยกร่างด้วย
2.3 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดในแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะกำกับดูแลและสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวด้วย
3. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3.1 กำหนดให้มีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่ดำเนินงานในฐานะเจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของสภา ประสานงานกับหน่วยงานของรัฐและประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ฯลฯ
3.2 กำหนดให้มีคณะกรรมการประสานการดำเนินงานด้านยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ทำหน้าที่วิเคราะห์ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่นที่สภามอบหมาย
4. บทเฉพาะกาล
4.1 ให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตามพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521 ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับปฏิบัติหน้าที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพลางก่อน
4.2 ให้โอนบรรดาภารกิจ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปเป็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4.3 ให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตามประกาศพระราชโองการ เรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ลงวันที่ 29 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 ที่ใช้อยู่ในวันก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ ถือว่าเป็นแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ และยังให้คงใช้ได้ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2565
เศรษฐกิจ-สังคม
4. เรื่อง การต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของสำนักงานธนานุเคราะห์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของสำนักงานธนานุเคราะห์ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่าย ในการบริหารการเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการ จำนวน 500 ล้านบาท ออกไปอีกเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ตามที่ พม. เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2559 เห็นชอบให้ พม. ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของสำนักงานธนานุเคราะห์ จำนวน 500 ล้านบาท โดยสัญญาจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน2561 แต่เนื่องจากสำนักงานธนานุเคราะห์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนสำรองหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหารการเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2563 ซึ่งการกู้เงินประเภทเบิกเงินเกินบัญชีนั้น หากสำนักงานธนานุเคราะห์ไม่ได้เบิกมาจะไม่เสียดอกเบี้ยจ่าย ดังนั้นคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ ในการปรชุมครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 จึงมีมติเห็นชอบการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารออมสินวงเงิน 500 ล้านบาท ของสำนักงานธนานุเคราะห์ ออกไปอีก 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563
ต่างประเทศ
5. เรื่อง การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ ระดับรัฐมนตรี ครั้ง 3
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ (Conference on Cooperation among East Asian Countries for Palestinian Development : CEAPAD) ระดับรัฐมนตรี ครังที่ 3 ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ญี่ปุ่น และปาเลสไตน์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานร่วมของการประชุมฯ (การประชุม CEAPAD จะจัดขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ณ กรุงเทพมหานคร) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. การประชุม CEAPAD เกิดจากการริเริ่มของรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อปี 2556 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและองค์การระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนารัฐปาเลสไตน์ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนด้านการค้าและการลงทุนในปาเลสไตน์และการเสริมสร้างขีดความสามารถในสาขาที่ประเทศสมาชิก CEAPAD มีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับความต้องการของปาเลสไตน์
2. การประชุม CEAPAD ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 ในปี 2561 จะเป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ และขยายความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในกรอบ CEAPAD ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีไทยในการสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์
วัตถุประสงค์ของการจัดการประชุม มีดังนี้
- เพื่อแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์และเข้มแข็งของไทยในเวทีระหว่างประเทศในการมีส่วนร่วมพัฒนารัฐปาเลสไตน์ โดยเฉพาะการดำเนินความสัมพันธ์และการสร้างพันธมิตรทางการเมืองกับกลุ่มประเทศมุสลิม
- เพื่อแสดงความตั้งใจและเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการมีปฏิสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ กับปาเลสไตน์
- เพื่อแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในการดำเนินความร่วมมือกับญี่ปุ่น
- เพื่อตอกย้ำบทบาทที่โดดเด่นของไทยในการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมระหว่างประเทศ ต่าง ๆ
แต่งตั้ง
6. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นายสาโรจน์ ขอจ่วนเตี๋ยว ผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการอาชีวศึกษาช่างอุตสาหกรรม (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
7. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายณรงค์ เชื้อบุญช่วย ผู้ช่วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี
2. นายพีระ ทองโพธิ์ ผู้ช่วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
8. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายอนุกูล เจิมมงคล ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติได้มีคำสั่งให้ข้าราชการรักษาราชการแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี