3 ก.ค.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลาการลดอัตราภาษี มูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า
1. ปัจจุบันได้กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี โดยให้จัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 ทั้งนี้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 646) พ.ศ. 2560 โดยกำหนดเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวใกล้จะสิ้นสุดลง
2. แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวร้อยละ 4.2 ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีปัจจัยจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว ที่มีแนวโน้มขยายตัวสอดคล้องกับประเทศคู่ค้าหลัก รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อการบริโภค และการลงทุนภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ที่ปรับเพิ่มขึ้น ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่อยู่ในเกณฑ์สูง นอกจากนี้ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าสินค้าส่งออกที่ขยายตัวและรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในด้านอุปสงค์ การบริโภค การลงทุนให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 กำหนดเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อ 1. ดังกล่าวจะสิ้นสุดลง จึงอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมที่มีการลงทุนและการบริโภคในประเทศที่อยู่ในช่วงขยายตัวอย่างต่อเนื่องอาจมีการชะลอตัว ระดับราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ จะมีการปรับราคาสูงขึ้น ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดให้ขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562
4. กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับ ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ดังนี้
4.1 ในส่วนรายได้ของภาครัฐ กค. ได้จัดทำรายงานตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ดังนี้
4.1.1 การขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 258,500 ล้านบาท
4.1.2 การกำหนดให้คงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) จะไม่มีผลกระทบต่อการประมาณการรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ เนื่องจากในการจัดทำงบประมาณได้มีการคำนวณประมาณการรายได้ โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานการคำนวณของอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ในอัตราร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น)
4.2 ในส่วนของประชาชน จะช่วยลดผลกระทบจากค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ภาคธุรกิจมีการลงทุนเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัว
4.3 ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจ ทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของอัตราภาษี ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้แก่ภาคเอกชน และสามารถวางแผนการบริหารธุรกิจได้อย่างถูกต้องต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มโดยยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้มีกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เป็นกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 โดยตั้งขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวง กค. และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย
2. กำหนดให้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมทำหน้าที่เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดประชารัฐสวัสดิการตามมติคณะรัฐมนตีเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ตลอดจนสนับสนุนโครงการที่ให้บริการทางสังคม ผ่านหน่วยงาน มูลนิธิและองค์กรการกุศล เพื่อช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบากทุกประเภท ซึ่งเป็นการขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
3. กำหนดแหล่งเงินทุนของกองทุนฯ ประกอบด้วย เงินที่มาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่รัฐจัดสรรให้ และเงินบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน
4. กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคน โดยมีผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวง กค. เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ สำหรับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกำหนดให้ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์การลงทุน กฎหมาย หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับกองทุนเพื่อสามารถให้ความเห็นรวมถึงข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อคณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ในการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ในการบริหารจัดการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
5. กำหนดให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบัญชีและการตรวจสอบที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับทุนหมุนเวียนอื่น
6. กำหนดบทเฉพาะกาล โดยให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ และหนี้สิน ที่เกี่ยวเนื่องกับกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในสำนักงานปลัดกระทรวง กค. ไปเป็นของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน จนกว่าจะมีคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้ อีกทั้งให้ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่าด้วยการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก พ.ศ. 2560 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีระเบียบประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้า และนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดสินค้าต้องห้ามส่งออก นำเข้าและนำผ่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561
2. กำหนดนิยามคำว่า “อาวุธและยุทโธปกรณ์” และกำหนดนิยามคำว่า “สินค้าฟุ่มเฟือย” “คอนเดนเซตและก๊าซธรรมชาติเหลว” “ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น” “เครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า” “ยานพาหนะ” “สินค้าแร่” “น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน” “น้ำมันดิบ” “อาหารทะเล” “สิ่งทอและของทำด้วยสิ่งทอ” “อาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร” “ดินและหิน” และ “ไม้” ให้เป็นไปตามรายการสินค้าตามบัญชีท้ายประกาศ
3. กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าฟุ่มเฟือย คอนเดนเซตและก๊าซธรรมชาติเหลว ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น เครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ สินค้าแร่เฉพาะเหล็ก และโลหะ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และให้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน และน้ำมันดิบ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
4. กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ สินค้าแร่ รูปปั้น อาหารทะเล สิ่งทอและของทำด้วยสิ่งทอ อาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า ดินและหิน ไม้และยานพาหนะ เฉพาะเรือและสิ่งก่อสร้างลอยน้ำ ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร
5. กำหนดให้สินค้าที่กำหนดไว้ตามข้อ 3. และข้อ 4. เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ไปยังกองกำลังติดอาวุธ เพื่อใช้สนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
6. กำหนดข้อยกเว้นที่มิให้ใช้บังคับ เช่น เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านมนุษยธรรมสำหรับพลเมืองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือเพื่อใช้ในกิจกรรมของคณะผู้แทนทางการทูต หรือเพื่อใช้
ในการดำรงชีพ
เศรษฐกิจ-สังคม
4. เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบกรณีบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เห็นชอบให้สายการบินซาอุดีอาระเบียแอร์ไลน์ เป็นสายการบินพันธมิตรในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2561 และการลงนามในข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย กับสายการบินซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา
2. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 (เรื่อง ขอเงินงบกลาง ประจำปี พ.ศ. 2548 เพื่อเป็นเงินสำรองจ่ายค่าที่พักสำหรับผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์และการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์สำหรับชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลาม) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 [เรื่อง รายงานการดำเนินงานกิจการฮัจย์ประจำปี 2553 (ฮ.ศ. 1431)] เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย โดยให้สายการบินแห่งชาติที่รัฐบาลประเทศซาอุดีอาระเบียมอบหมายร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 เป็นต้นไป ตามความ ตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทบกับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ และกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย ที่จะมีขึ้นในแต่ละปี
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เนื่องจากกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบียได้กำหนดข้อตกลงใหม่ในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่กระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ซาอุดีอาระเบียกำหนด เพื่อใช้บังคับกับทุกประเทศที่มีประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามและจะเดินทางไปแสวงบุญพิธีฮัจย์ โดยข้อตกลงดังกล่าวมีข้อกำหนด ดังนี้ (1) การขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ให้แบ่งจำนวนผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ฝ่ายละครึ่งหนึ่งระหว่างสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยกับสายการบินแห่งชาติของประเทศซาอุดีอาระเบีย (2) ไม่อนุญาตให้สายการบินของประเทศอื่นนอกจากสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยและประเทศซาอุดีอาระเบียดำเนินการขนส่ง เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย และ (3) ดำเนินการโดยรูปแบบเที่ยวบินเช่าเหมาลำเท่านั้น ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยได้พิจารณาข้อตกลงดังกล่าวและมีมติเห็นชอบแล้วรวมทั้งมอบหมายให้กรมการปกครองในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมถึงบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้เห็นชอบข้อตกลงดังกล่าวด้วยแล้ว
2. โดยที่ผ่านมาการดำเนินการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยมีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2548และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็น การมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมประสานกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการจัดเที่ยวบินประเภทเช่าเหมาลำขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย รวมถึงหาพันธมิตรร่วมทำการบินเพื่อให้บริการขนส่ง โดยมิได้มีการระบุว่าต้องเป็นสายการบินใดแต่เนื่องจากข้อตกลงข้างต้นมีการกำหนดรายละเอียดเพิ่มขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามที่ข้อตกลงข้างต้นกำหนดกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย จึงเสนอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามข้อตกลงข้างต้นและการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นตามที่ประเทศซาอุดีอาระเบียจะกำหนดในแต่ละปี
ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการในปี พ.ศ. 2561 กรมการปกครองได้มีการลงนามในข้อตกลงดังกล่าวกับสายการบินซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ ไปแล้วเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2561 (กรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบียได้กำหนดให้สายการบินซาอุดีอาระเบียน แอร์ไลน์ เป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศซาอุดีอาระเบียสำหรับปี พ.ศ. 2561) ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย ในคราวการประชุม ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 และโดยที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับจัดบริการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. 2524 ประกอบกับเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ซึ่ง เข้าข่ายตามมาตรา 4 (9) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ดังนั้น จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบและพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่ มท. เสนอ
5. เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เสนอ แล้วมีมติดังนี้
บริหารองค์การมหาชนที่เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยทั้งระบบ (ซึ่งรวมหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทน การประเมินผลและการบริหารงานของคณะกรรมการองค์การมหาชน) และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รวมถึงความเห็นของข้อสั่งการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailang 4.0 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2561 และคณะอนุกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในคราวประชุมครั้งที่ 2/561 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 [ตามหนังสือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด่วนที่สุด ที่ วท (ปคร) 5401/4852 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2561 (เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0)] ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ เพื่อเป็นการยกระดับการวิจัยและพัฒนาของประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
และให้ วท. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รวมถึงความเห็นและข้อสั่งการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2561 [ตามหนังสือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด่วนที่สุด ที่ วท (ปคร) 5401/4852 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2561 (เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0)] ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เสนอ และให้ วท. ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รวมถึงความเห็นและข้อสั่งการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 [ตามหนังสือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด่วนที่สุด ที่ วท (ปคร) 5401/4852 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2561 เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0] ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ต่างประเทศ
6. เรื่อง ขออนุมัติลงนามและให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำความผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตาม คำพิพากษาในคดีอาญา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย ศรีลังกาว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำความผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามสนธิสัญญาฯ
3. ให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในสนธิสัญญาข้างต้นในกรณีที่ผู้ลงนามไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
4. ให้ กต. ดำเนินการให้สนธิสัญญาฯ มีผลใช้บังคับในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายศรีลังกาต่อไป
(สนธิสัญญาดังกล่าวมีกำหนดการลงนามระหว่างวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2561 ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาอย่างเป็นทางการ)
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอน และการรับโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาระหว่างภาคี สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. บุคคลที่ต้องโทษตามคำพิพากษาในดินแดนของภาคีฝ่ายหนึ่ง อาจได้รับการโอนตัวไปยังดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งตามบทบัญญัติของสนธิสัญญานี้ เพื่อรับโทษที่บุคคลนั้นถูกพิพากษา
2. ผู้กระทำผิดอาจได้รับการโอนตัวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
2.1 หากการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำอันเป็นมูลเหตุของการมีคำพิพากษาให้ลงโทษเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายของรัฐผู้รับ
2.2 หากผู้กระทำผิดเป็นคนชาติของรัฐผู้รับและมิได้เป็นคนชาติของรัฐผู้โอน
2.3 หากโทษตามคำพิพากษาที่ลงแก่ผู้กระทำผิดเป็นโทษจำคุก กักขัง หรือการทำให้สูญเสียอิสรภาพในรูปแบบอื่นใด
2.4 หากผู้กระทำผิดได้รับโทษทำให้สูญเสียอิสรภาพในรูปแบบอื่นใดมาแล้วเป็นระยะเวลาขั้นต่ำตามที่กำหนดโดยกฎหมายของรัฐผู้โอน
2.5 หากในขณะที่ได้รับคำร้องขอให้โอนตัว ผู้กระทำผิดยังคงเหลือระยะเวลาในการรับโทษตามคำพิพากษาอีกอย่างน้อยหนึ่งปี
2.6 หากรัฐผู้โอน รัฐผู้รับ และผู้กระทำผิดเห็นชอบต่อการโอนตัว
3. คำร้องขอให้โอนตัวผู้กระทำผิดจะถูกปฏิเสธตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
3.1 ในกรณีรัฐผู้โอนคือราชอาณาจักรไทย หากผู้กระทำผิดถูกพิพากษาให้รับโทษในความผิด (1) ต่อความมั่นคงภายในหรือภายนอกของรัฐ (2) ต่อประมุขของรัฐ หรือสมาชิกในครอบครัวของประมุขของรัฐ หรือ (3) ต่อกฎหมายคุ้มครองสมบัติที่มีค่าทางศิลปะของชาติ
3.2 ในกรณีรัฐผู้โอนคือสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา หากผู้กระทำผิด ถูกพิพากษาให้รับโทษในความผิด (1) ต่อความมั่นคงของชาติ หรือผลประโยชน์ที่สำคัญอื่นใดของศรีลังกา หรือ (2) ภายใต้กฎหมายทหาร
3.3 หากคำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด และการดำเนินคดีอื่นเกี่ยวกับความผิดนั้นหรือ ความผิดอื่นใดยังค้างการพิจารณาอยู่ในรัฐผู้โอน
4. รัฐผู้โอนยังคงไว้ซึ่งเขตอำนาจแต่ผู้เดียวเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลตน โทษตามคำพิพากษาที่กำหนดโดยศาลนั้น และขั้นตอนที่เกี่ยวกับการแก้ไข การเปลี่ยนแปลง หรือการยกเลิกคำพิพากษาและโทษตามคำพิพากษาเหล่านั้น
5. การบังคับโทษตามคำพิพากษาต่อภายหลังการโอนตัวให้เป็นไปตามกฎหมายและขั้นตอนของรัฐผู้รับ
6. สนธิสัญญานี้จะใช้บังคับการบังคับโทษตามคำพิพากษา ไม่ว่ามีก่อนหรือหลังสนธิสัญญานี้มีผลใช้บังคับ
7. เมื่อภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร้องขอ ให้คู่ภาคีปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการตีความ และ/หรือการใช้บังคับสนธิสัญญานี้
8. ให้สนธิสัญญานี้ได้รับการสัตยาบันและให้เริ่มมีผลใช้บังคับในวันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร และภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจบอกเลิกสนธิสัญญานี้เมื่อใดก็ได้ โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง ให้การบอกเลิกมีผล 6 เดือน หลังจากวันที่ภาคีอีกฝ่ายได้รับแจ้งการบอกเลิกดังกล่าว
7. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ [Memorandum of Understanding (MOU) between the Association of Southeast Asian Nation (ASEA) and the International Renewable Energy Agency (IRENA)]
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ [Memorandum of Understanding (MOU) between the Association of Southeast Asian Nation (ASEA) and the International Renewable Energy Agency (IRENA)] ซึ่ง พน. แจ้งว่าจะต้องดำเนินการให้ทันก่อนวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 เพื่อสำนักเลขาธิการอาเซียนจะได้ดำเนินการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียนตลอดจนเตรียมการลงนามให้ทันก่อนการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนครั้งที่ 36 ในเดือนตุลาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
2. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนสามารถลงนามในนามอาเซียนได้โดยประเทศสมาชิกจะต้องให้ความยินยอมให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ตามกฎระเบียบว่าด้วยการทำความตกลงระหว่างประเทศโดยอาเซียน ค.ศ. 2011 (2011 Rules of Procedure for the Conclusion of International Agreements by ASEAN) ซึ่งคณะมนตรีประสานงานอาเซียนได้รับรองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2554
3. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ พน. และคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินการตามแผน APAEC 2016-2025 ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยการดำเนินงานภายใต้คณะทำงานเครือข่ายด้านพลังงานหมุนเวียน [Renewable Energy Sub-sector Network (RE-SSN)] และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในอาเซียน ในการก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่อนาคตพลังงานที่มีคาร์บอนต่ำ สะอาด มั่นคง ราคาถูก และยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียนต่อไป
ขอบเขตความร่วมมือ 1) การจัดตั้งการประชุมระหว่างอาเซียน IRENA ผ่านการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านพลังงาน 2) การดำเนินกิจกรรมร่วมกันตามโครงการภายใต้ RE-SSN และแผนงานที่ IRENA ดำเนินการอยู่ เช่น (1) การวางแผนพลังงานในการบูรณาการแหล่งพลังงานหมุนเวียนสัดส่วนสูงกับสัดส่วนพลังงานของอาเซียน (2) การประเมินผลและแนวทางสำหรับการเร่งรัดการใช้พลังงานหมุนเวียนตามที่เหมาะสม รวมถึงการปรับปรุงคาดการณ์พลังงานหมุนเวียนอาเซียนให้ทันสมัย (3) กรอบนโยบายและกฎระเบียบด้านพลังงานหมุนเวียน และผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและสังคมของการใช้พลังงานหมุนเวียน (4) เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเท่าที่ทำได้ (5) การอบรมและการเพิ่มขีดความสามมารถในด้านพลังงานหมุนเวียน และ (6) การพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้สามารถขอรับการสนับสนุนทางการเงิน/สินเชื่อจากธนาคารได้
ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ลงนามเป็นต้นไปและเนื้อหาในบันทึกความเข้าใจนี้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลาสามปี หรือจนกว่าจะมีการขอสิ้นสุดบันทึกความเข้าใจโดยความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่ายหรือคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแจ้งเป็นหนังสือให้คู่สัญญาอีกฝ่ายทราบล่วงหน้าหกสิบวัน
8. เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญาอูลานบาตอร์และแผนปฏิบัติการกรอบเซนไดของภูมิภาคเอเชีย สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ประจำปี พ.ศ. 2561 ณ กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญาอูลานบาตอร์ (Ulaanbaatar Declaration) และร่างแผนปฏิบัติการกรอบเซนไดของภูมิภาคเอเชีย พ.ศ. 2561– 2563 (Action Plan 2018 – 2020: Asia Regional Plan for Implementation of the Sendai Framework for Disaster Risk Reduction 2015 - 2030)
2. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ มท. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
3. อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย (ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติประจำปี พ.ศ. 2561 ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย) เป็นผู้รับรองเอกสารดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างทั้ง 2 ฉบับ มีดังนี้
1. ร่างปฏิญญาอูลานบาตอร์ (Ulaanbaatar Declaration) คือ คำประกาศแสดงเจตจำนงทางการเมืองของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งภูมิภาคเอเชียประจำปี พ.ศ. 2561 ที่จะร่วมให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติตามกรอบเซนไดเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบายระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น ความตกลงปารีส ด้วยการเรียกร้องให้รัฐบาลและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียดำเนินการ
2. ร่างแผนปฏิบัติการกรอบเซนไดของภูมิภาคเอเชีย พ.ศ. 2561– 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภูมิภาคเอเชียนำไปใช้เป็นแผนที่นำทางสำหรับขับเคลื่อนและดำเนินการตามกรอบเซนไดฯ ซึ่งมีระยะการดำเนินงาน 15 ปี (พ.ศ. 2558 – 2573) ด้วยการกำหนดเป้าหมายร่วมของภูมิภาคที่ควรบรรลุทุก ๆ 2 ปี (Milestones) และจะมีการทบทวนผลการดำเนินงานและปรับเป้าหมายดังกล่าวร่วมกันในการประชุม AMCDRR ทุกครั้ง ในการนี้ ร่างแผนปฏิบัติการกรอบเซนไดของภูมิภาคเอเชีย พ.ศ. 2561 – 2563 ที่จะมีการพิจารณาและรับรองร่วมกันในการประชุม AMCDRR 2018 ระหว่างวันที่ 2 – 6 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย จึงเป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากแผนปฏิบัติการฯ ฉบับก่อน โดยสาระสำคัญของร่างแผนปฏิบัติการฯ ฉบับนี้ ยังคงเป็นการกำหนดเป้าหมายร่วม (Milestones) และจัดลำดับความสำคัญ ของกิจกรรมที่ควรดำเนินการในรอบปี พ.ศ. 2561 – 2563 ที่เป็นไปตามภารกิจและพันธกิจของกรอบเซนได 4 ประการ ดังนี้
(1) ส่งเสริมให้มีการจัดทำคู่มือและเครื่องมือสำหรับภูมิภาคด้านการประเมินความเสี่ยง ที่ครอบคลุมและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง
(2) เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ความร่วมมือระดับภูมิภาค ด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน ในการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ที่คำนึงถึงความต้องการเฉพาะของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด
(3) ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ในภูมิภาคและให้ความสำคัญกับการสนับสนุนในระดับภูมิภาค
(4) ส่งเสริมและเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและปรับปรุงระบบการประเมิน ความเสี่ยงแบบบูรณาการที่นำผลการวิเคราะห์ด้านสิ่งแวดล้อมและความสูญเสียมาร่วมการพิจารณา
9. เรื่อง โครงการทุนศึกษาต่อในต่างประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 4 (ปี 2561-2565)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการโครงการทุนการศึกษาต่อในต่างประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 4 (ปี 2561-2565) จำนวน 50 ทุน แบ่งเป็นทุนระดับปริญญาโท จำนวน 25 ทุน และทุนระดับปริญญาเอกจำนวน 25 ทุน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ โดยงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนอัตรากำลังคนภาครัฐและแผนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐภาพรวมในระยะยาว (การจัดสรรทุนรัฐบาลให้กับหน่วยงานต่าง ๆ) เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยแผนดังกล่าวต้องมีความสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ และมีการกำหนดกลไกกลางที่เป็นมาตรฐานในการพิจารณาจัดสรรทุนรัฐบาล โดยคำนึงถึงสาขาวิชาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาประเทศ และการทดแทนอัตรากำลังคนในสาขาที่ขาดแคลนของบุคลากรภาครัฐเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาให้มีกลไกในการทบทวนแผนดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมในการพัฒนาประเทศในแต่ละช่วงด้วย
รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่มีความประสงค์จะขอรับการจัดสรรทุนการศึกษาจากรัฐบาลจัดส่งเรื่องพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดสัดส่วนของสาขาวิชาเพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนและความต้องการในการเตรียมและพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน การวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและแผนอัตรากำลังคนเพื่อทดแทนบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน เป็นต้น ให้กับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาก่อนดำเนินการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. กษ. มีนโยบายการพัฒนาบุคลากรด้วยการให้ทุนการศึกษาต่อในต่างประเทศ ศึกษาในหลักสูตรนานาชาติเพื่อทดแทนอัตรากำลังสาขาที่ขาดแคลนและรองรับภาระหน้าที่ ทิศทาง การพัฒนาของ กษ. ที่เพิ่มมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนอกจากจะได้ความรู้ทางวิชาการแล้ว ยังได้รับประสบการณ์ในการใช้ภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับการศึกษาในต่างประเทศ และได้เข้าร่วมในโครงการทุนบัณฑิตศึกษาพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งเอเชียของสถาบัน AIT ซึ่งจัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 70 พรรษาในปี 2545 การเข้าร่วมในโครงการดังกล่าว กษ. ได้จัดทำโครงการทุนศึกษาต่อในประเทศของบุคลากร กษ. ณ สถาบัน AIT ระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ระยะที่ 1 (ปี 2546-2550) ระยะที่ 2 (ปี 2551-2555) ระยะที่ 3 (2556-2560) เพื่อสนับสนุนบุคลากรของ กษ. ทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านวิจัยให้ได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อการผลิตและการพัฒนาสินค้าเกษตร รวมทั้งการประเมินผลการดำเนินการจัดสรรทุนภายใต้โครงการฯ ที่ผ่านมาได้ระบุถึงความต้องการให้มีการดำเนินการจัดสรรทุนศึกษาอย่างต่อเนื่อง
2. โครงการทุนศึกษาต่อในต่างประเทศของบุคลากร กษ. ณ AIT ระยะที่ 3 (ปี 2556-2560) สิ้นสุดโครงการในปี พ.ศ. 2560 และมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องดำเนินโครงการต่อเนื่องในระยะที่ 4 (ปี 2561-2565) เพื่อพัฒนาบุคลกรอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องทันกับการเรียนการสอนและการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยโครงการทุนศึกษาต่อในต่างประเทศของบุคลากร กษ. ณ สถาบัน AIT ระยะที่ 4 (ปี 2561-2565) ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการมีดังนี้
1. เพื่อยกระดับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมด้านการเกษตร
2. เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร กษ. ให้มีความรู้ด้านภาษา ความรู้ด้านเทคโนโลยี และความรู้ในการดำเนินธุรกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาในสาขาวิชาหรือหลักสูตรที่สนับสนุนภารกิจหลักของ กษ. หรือองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์พร้อมต่อการรับรองภารกิจเร่งด่วนที่มีความจำเป็น แต่ กษ. ยังคงขาดแคลนบุคลากรให้ปฏิบัติงานได้สอดคล้องต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ของ กษ.
3. เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนาทดแทนอัตรากำลังที่จะมี การเกษียณอายุราชการหรือเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดตามยุทธศาสตร์การปรับขนาดกำลังคนภาครัฐ
เป้าหมายของโครงการ
1. บุคลากร กษ. ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัย ในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อภารกิจขององค์กร และสามารถใช้ทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน 50 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2561-2565) แบ่งเป็นระดับปริญญาโท จำนวน 25 คน และระดับปริญญาเอกจำนวน 25 คน
2. ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีทางเกษตร รวมถึงระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสามารถแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร
10. เรื่อง ขออนุมัติร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ 9
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ 9 (9th Meeting of the Joint Commission between the Kingdom of Thailand and the Republic of Indonesia = JC)
คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. ดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
ทวิภาคี ไทย – อินโดนีเซีย ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 5-6 กรกฎาคม 2561 ณ เมืองย็อกยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียแบบรอบด้านที่ครอบคลุมมิติความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) การเมืองและความมั่นคง 2) ความร่วมมือด้านกฎหมายและกงสุล 3) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
และการท่องเที่ยว 4) ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม 5) ความร่วมมือด้านเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต และ 6) ความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี
แต่งตั้ง
11. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนความมั่นคง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
12. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายวิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง เป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
13. เรื่อง แต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายนพพร ชื่นกลิ่น ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
14. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จำนวน 7 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. ศาสตราจารย์มรรยาท รุจิวิชชญ์
2. นายดุสิต เขมะศักดิ์ชัย
3. นายสมชัย จิตสุชน
4. ศาสตราจารย์นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล
5. ศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์
6. ศาสตราจารย์สมคิด เลิศไพฑูรย์
7. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุปรีดา อดุลยานนท์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
15. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้ง นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ ทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี