10 ก.ค.61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ และ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุม ครม.ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
3. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
4. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ โดยกำหนดให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน หรือครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือเป็นเจ้าของห้องชุดมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท และใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของโครงการอาคารชุดที่ยังไม่ได้จำหน่ายซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ เป็นผู้เสียภาษีจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของที่ดินหรือห้องชุด
2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคลโดยได้กำหนดบทนิยามให้ “ทรัสต์” หมายความว่า นิติสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามสัญญาก่อตั้งทรัสต์และ “การจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล” หมายความว่า การบริหารจัดการทรัพย์สินของผู้ก่อตั้งทรัสต์เพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในสัญญาก่อตั้งทรัสต์ ทั้งนี้ ให้รวมถึงการจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ภายหลังผู้ก่อตั้งทรัสต์ถึงแก่ความตาย โดยขอบเขตของทรัสต์ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการดังต่อไปนี้ คือ 1) มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน 2) การระดมทุนจากประชาชน 3) การจัดการทรัสต์ที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน และ 4) การจัดการทรัสต์ที่มีลักษณะเป็นทรัสต์เพื่อการประกอบธุรกิจที่มีกฎหมายกำกับดูแล ทั้งนี้ยังได้กำหนดหลักการต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล
3.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ
3. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งรัดดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
4. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 (เรื่อง ขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน) และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป
สสว. เสนอว่า
1. เนื่องจากวิสาหกิจเพื่อสังคมมีลักษณะที่จัดตั้งขึ้นเพื่อที่จะช่วยแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามวิสาหกิจเพื่อสังคมต้องมีรายได้เพียงพอที่เลี้ยงตัวเองได้ ซึ่งจะทำให้มีการดำเนินงานอย่างยั่งยืนด้วย ประกอบกับปัจจุบันมีการประกอบกิจการของภาคเอกชนในลักษณะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมมากขึ้น แต่ยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จะช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร และยังไม่มีการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่เฉพาะในการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม รวมทั้งยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติที่จะทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทในการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างรอบด้านและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ทำให้ผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคมจำนวนหนึ่ง ยังไม่พร้อมจะเข้ามาแข่งขันทางการค้าทั้งในระดับภายในประเทศและระหว่างประเทศ จึงสมควรกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อส่งเสริมให้มีผู้ประกอบกิจการจากภาคเอกชนเข้ามาประกอบกิจการเพื่อสังคมมากขึ้น และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประสานการสนับสนุนและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อจะมีผลให้ชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อมได้รับการแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
2. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมดังกล่าวจะส่งผลให้การประกอบกิจการหรือการดำเนินการของภาคเอกชนซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม อันถือเป็นการประกอบกิจการหรือการดำเนินการเพื่อสังคมเกิดความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากมีคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งชาติ (ควส.) ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งชาติ มีระบบการขึ้นทะเบียนและการออกใบรับรองจากภาครัฐที่ชัดเจน มีการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งชาติ (สวส.) เพื่อดำเนินงานในภารกิจขึ้นทะเบียนและภารกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม และมีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมขึ้นใน สวส. เพื่อให้วิสาหกิจเพื่อสังคมกู้ยืม ซึ่งจะส่งผลให้การประกอบกิจการฯ จะมีความพร้อมในการแข่งขันทางการค้าทั้งระดับภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยประสานการสนับสนุนและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมมีความเข้มแข็งสามารถแข่งขันทางการค้าได้ ซึ่งจะทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทางการเงิน ส่งผลให้สังคมหรือสิ่งแวดล้อมได้รับการแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างเหมาะสมและยั่งยืนยิ่งขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจและสังคมเติบโต ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อกำหนดมาตรการในการส่งเสริมวิสาหกิจที่ดำเนินการเกี่ยวกับการผลิตสินค้า การให้บริการหรือการอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มแรกในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก มิใช่การสร้างกำไรสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นและเจ้าของเป็นสำคัญ ให้เข้ามาประกอบกิจการเพื่อสังคมมากขึ้น โดยประสานการสนับสนุนและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้สังคมหรือสิ่งแวดล้อมได้รับการแก้ปัญหาและพัฒนาอย่างเหมาะสมและยั่งยืน
4.เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละสิบห้าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้าง ให้แก่
1.1 บุคคลธรรมดา ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร รวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ทั้งนี้ ในปีภาษีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
1.2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการรวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
2. บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
2.1 มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกำหนด ซึ่งให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
2.2 มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างรายวันเดิมที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561
2.3 ไม่มีการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เนื่องจากรายจ่ายในการจ้างงานตามพระราชกฤษฎีกาอื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรอีก ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
5.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวติดต่อกันเป็นเวลาตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มชื่อและรายการบุคคลในทะเบียนบ้าน การจัดทำทะเบียนประวัติ การแจ้งการย้ายที่อยู่ การจัดทำบัตรประจำตัว และการสำรวจตรวจสอบหรือปรับปรุงการทะเบียนราษฎร สำหรับคนที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นเวลาน้อยกว่า 6 เดือน หากมีความประสงค์จะปฏิบัติเรื่องดังกล่าว ให้ร้องขอต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการให้ได้
2. กำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวที่มีชื่อรายการบุคคลในเอกสารการทะเบียนราษฎร และมีอายุตั้งแต่ 5 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์ ต้องมีบัตรประจำตัว
3. กำหนดให้บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ออกให้กับคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวหรือผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเป็นเวลาไม่ถึง 10 ปี มีอายุใช้ได้เท่ากับระยะเวลาที่ผู้ถือบัตรได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
4. กำหนดเพิ่มเติมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำหนดให้บัตรประจำตัวที่ออกให้กับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยประเภทใดมีอายุการใช้บัตรน้อยกว่า 10 ปีได้
5. กำหนดให้อธิบดีกรมการปกครองในฐานะผู้อำนวยการทะเบียนกลางตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เป็นผู้ออกบัตรประจำตัวของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย มีหน้าที่และอำนาจกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการจัดทำบัตรประจำตัวของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
6.เรื่อง ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เป็นการกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปีประเทศละไม่เกิน 100 คนต่อปี และไม่เกิน 50 คนต่อปี สำหรับคนไร้สัญชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยสามารถยื่นคำขอมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยต่อไป อันเป็นการส่งเสริมให้คนต่างด้าวเข้ามาลงทุนและทำงานในประเทศไทย
ต่างประเทศ
7.เรื่อง การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม Focal Points Network on Women, Peace and Security ณ กรุงเบอร์ลิน ระหว่างวันที่ 9 – 10 เมษายน 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม Focal Points Network on Women, Peace and Security ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 9 - 10 เมษายน 2561 โดยหาก มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการรับรอง ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้ ฝ่ายจัดการประชุมอยู่ระหว่างการเวียนร่างเอกสารฯ เพื่อขอรับความเห็นจากรัฐสมาชิกก่อนจะนำไปปรับปรุงตามความเห็นที่ได้รับก่อนการรับรองในภายหลังต่อไป
2. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กห.) กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) และสำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) รับทราบและถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เกี่ยวกับการส่งเสริมให้รัฐสมาชิกดำเนินการตามวาระสตรี สันติภาพ และความมั่นคง การสนับสนุนบทบาทขององค์การระดับภูมิภาคและภาคประชาสังคมในการติดตามการนำวาระดังกล่าวไปปฏิบัติ การส่งเสริมบทบาทสตรีตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับผู้นำให้เป็นส่วนสำคัญต่อกระบวนการยุติธรรม การเน้นย้ำความสำคัญของการวิเคราะห์ความขัดแย้งที่คำนึงถึงประเด็นทางเพศและการจัดสรรงบประมาณที่ครอบคลุมการดำเนินการดังกล่าว การใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่เพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินการตามผลลัพธ์การประชุม การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสตรีในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ของสหประชาชาติ และการเสริมสร้างการตรวจสอบได้ในกรณีความรุนแรงทางเพศและเพศสภาพในสถานการณ์ขัดแย้ง
8.เรื่อง การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปเพื่อแก้ไขความตกลงในการสนับสนุนทางการเงินภายใต้โครงการการใช้ป่าพรุที่ยั่งยืนและการบรรเทาหมอกควันในอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปเพื่อแก้ไขความตกลง ให้การสนับสนุนทางการเงินภายใต้โครงการการใช้ป่าพรุที่ยั่งยืนและการบรรเทาหมอกควันในอาเซียน
2. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว ในนามของอาเซียน
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า
1. โครงการการใช้ป่าพรุที่ยั่งยืนฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการป่าพรุในอาเซียนอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบของไฟป่าและหมอกควัน โดยค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ประมาณ 24 ล้านยูโร (ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากงบประมาณของสหภาพยุโรป 20 ล้านยูโร และการสนับสนุนเงินทุนร่วมจากกระทรวงสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติ และความปลอดภัยของอาคารและนิวเคลียร์แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในจำนวนสูงสุด 4 ล้านยูโร) ระยะเวลาการดำเนินการ ระหว่างปี ค.ศ. 2517-2021 โดยความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงินโครงการการใช้ป่าพรุฯ ประกอบด้วย 1) เงื่อนไขพิเศษ (Special Conditions) 2) ข้อกำหนดด้านเทคนิคและด้านการบริหารจัดการ (Annex I : Technical and Administrative Provisions) ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการและการใช้งบประมาณด้วย 3) เงื่อนไขทั่วไป (Annex II : General Conditions) และ4) ภาคผนวก : ตารางเหตุผลสัมฤทธิ์ (Appendix : Indicative Logframe Matrix)
2. สำนักเลขาธิการอาเซียนได้จัดทำร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อตอบรับการปรับปรุงแก้ไขความตกลงให้การสนับสนุนทางการเงิน ข้อ 2.2 ภาคผนวก 1 (ข้อกำหนดด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ) ของความตกลงโครงการการใช้ป่าพรุฯ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแก้ไขตามข้อ 8 (3)9 ของข้อบังคับ (EU) เลขที่ 236/2014 และที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของการดำเนินงานในภูมิภาค ซึ่งคณะกรรมการได้ตัดสินว่า ให้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จากประเทศ ดินแดน หรือภูมิภาคต่อไปนี้ จะมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและให้รางวัลและมีสิทธิ์ในอุปกรณ์เหล่านี้ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม และสิงค์โปร์ โดยเพิ่มคำว่า “and grant award (ให้รางวัล)”
9.เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา และการวิจัย ไทย – โมร็อกโก
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย ไทย - โมร็อกโก ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติ การฝึกอบรมวิชาชีพ การอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก ทั้งนี้ หากก่อนลงนาม มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้ ศธ.หารือกันกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้นๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย ไทย - โมร็อกโก ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติ การฝึกอบรมวิชาชีพ การอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและ ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ ศธ.ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี ทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย และหากผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะจัดทำข้อตกลงทางเทคนิคและทางการเงิน (Technical and financial arrangements) เป็นการเฉพาะเพื่อดำเนินความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ให้ ศธ.พิจารณาส่งร่างข้อตกลงทางเทคนิคและทางการเงินดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาด้วย
บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย ไทย - โมร็อกโก
วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บนฐานของความเท่าเทียมกัน ผลประโยชน์ร่วมและต่างตอบแทนกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เข้าร่วม โดยไม่ได้สร้างภาระผูกพันที่มีผลผูกพันตามกฎหมายใดๆ ต่อผู้เข้าร่วมและไม่ถือเป็นสนธิสัญญา ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันตามกฎหมายใดๆ ต่อผู้เข้าร่วมและไม่ถือเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ขอบเขตความร่วมมือ
1) การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและสื่อสิ่งพิมพ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมถึงศาสตร์การสอนและวิธีการสอน
2) การแลกเปลี่ยนครู นักเรียน และผู้เชี่ยวชาญ
3) การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผู้บริหาร นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ด้านวิชาการในโครงการที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของผู้เข้าร่วม
4) เสริมสร้างความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงมหาวิทยาลัย/สถาบันผ่านโครงการวิจัยร่วมและกิจกรรมร่วมของนักศึกษา
5) เสริมสร้างความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงวิทยาลัยหรือสถาบันอาชีวศึกษา ผ่านโครงการแลกเปลี่ยน และกิจกรรมร่วมกัน
6) การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนของผู้เข้าร่วมโดยขึ้นอยู่กับงบประมาณที่มีอยู่
7) การส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีระหว่างสถาบันอุดมศึกษาในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
8) การส่งเสริมการทำวิทยานิพนธ์ร่วมในระดับปริญญาเอก
9) ความร่วมมืออื่น ๆ ที่ตัดสินใจร่วมกันโดยผู้เข้าร่วมในสาขาการศึกษาและการวิจัย
10.เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกา และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ พณ.หรือผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกาในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ พณ.ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้ง ให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
ร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกาและการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ผ่านความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ
ความร่วมมือครอบคลุม 10 สาขา ได้แก่ 1) ความร่วมมือด้านการลงทุน 2) โครงสร้างพื้นฐาน 3) การพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร 4) การประมง 5) อัญมณีและเครื่องประกอบ 6) การท่องเที่ยว 7) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 8) ความร่วมมือด้านการเงิน 9) อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และ 10) การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
11.เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดังนี้
อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (Joint Press Statement on the Official Visit of His Excellency General Prayut Chan-o-cha, Prime Minister of the Kingdom of Thailand, to the Democratic Socialist Republic of Sri Lanka)
ผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ กต. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
ทางการ ระหว่างวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2561 ตามคำเชิญของนายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับศรีลังกาในด้านต่างๆ
2. ในการเยือนดังกล่าวจะมีออกแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยม
ประชาธิปไตยศรีลังกาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมและติดตามความร่วมมือทวิภาคีไทย - ศรีลังกาในด้านต่างๆ ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ ความร่วมมือทางวิชาการ การเกษตร ประมง วัฒนธรรม ศาสนา การท่องเที่ยว และความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี
ร่างแถลงข่าวร่วมดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองและความพร้อมของไทยที่จะ
ส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีกับศรีลังกา เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และสาขาความร่วมมืออื่นๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งจะเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับศรีลังกา และจะมีผลในการช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป
แต่งตั้ง
12.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายสุพพัต อ่องแสงคุณ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
13.เรื่อง รัฐบาลสาธารณรัฐฝรั่งเศสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรณีรัฐบาลสาธารณรัฐฝรั่งเศสมีความประสงค์ขอแต่งตั้ง นายฌาก ลาปูฌ (Mr. Jacques Lapouge) ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายฌีล การาชง (Mr. Gilles Garachon) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
14.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอแต่งตั้ง นางสาวดารณี ลิขิตวรศักดิ์ รองอธิบดีกรมพลศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
15.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นางภัทราวรรณ เวชชศาสตร์ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
16.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายวศิน เรืองประทีปแสง กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
2. นายธานี แสงรัตน์ กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
17.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา รวม 8 คน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 ดังนี้
1. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ
2. นางสาววลัยรัตน์ ศรีอรุณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. รองศาสตราจารย์ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ
4. รองศาสตราจารย์ปัทมาวดี โพชนุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ
5. นายภัทระ คำพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม
6. นายจเด็จ ธรรมธัชอารี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม
7. นายประสงค์ วินัยแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ภาคเอกชน
8. นายชาลี จันทนยิ่งยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
18.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายปรเมธี วิมลศิริ ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งเดิมซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2561
19.เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน รวม 3 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. พลอากาศเอก เผด็จ วงษ์ปิ่นแก้ว ประธานกรรมการ
2. นางสาวพจนี อรรถโรจน์ภิญโญ (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายนภดล วณิชวรนันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
20.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ รวม 7 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานกรรมการ
2. พลเรือเอก ทวีวุฒิ พงศ์พิพัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายสมบัติ อยู่เมือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นายสมประสงค์ บุญยะชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
21.เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมืองแทนตำแหน่งที่ว่าง (ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณชิย์เสนอแต่งตั้ง นางวิไลวรรณ ทัพวงศ์ศรี เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
22.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายสุรงค์ บูลกุล เป็นประธานกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา 14 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี